ยาสีฟัน DENTISTE จากร้านขายยา กลางสยาม ขายดีจนถูกไล่ ให้ไปรวยที่อื่น !!
จุดเริ่มต้น ก่อนจะมาเป็น Dentiste แบรนด์ยาสีฟัน
ที่ทุกคนรู้จัก
หลายๆ คนคงรู้จักแบรนด์
ผลิตภัณฑ์ ยาสีฟัน ที่ชื่อว่า “Dentiste” กันใช่มั้ยล่ะครับ
ที่พอเห็นแล้วก็คงนึกกันว่า เป็นของชาวต่างชาติ แถมยังมี ลิซ่า BLACKPINK เป็นพรีเซ็นเตอร์
แต่ความจริงแล้ว Dentiste มีเจ้าของเป็นคนไทยครับ
ซึ่งไม่ได้มีแค่ Dentiste อย่างเดียว
แต่ว่ายังมีแบรนด์ ดูแลผิวหน้า
ที่คนไทยหลายคนรู้จักกัน
ในชื่อ Smooth E ซึ่งก็อยู่ภายใต้บริษัทเดียวกัน.
วันนี้ The Insider จะพาทุกคนมาทำความรู้จัก
ผู้ให้กำเนิด ผลิตภัณฑ์ ยาสีฟัน Dentiste
ดร. แสงสุข พิทยานุกุล
จากจุดเริ่มต้น สู่การต่อยอด
และมียอดขาย พุ่งทยานไปถึง 1.9 พันล้าน!!
ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องราว ที่น่าสนใจ
ที่ทางทีมงาน คัดสรรมาห้ทุกท่าน ได้อ่านกันอย่างเพลินๆ ครับ
ฉันไม่ใช่บริษัทใหญ่
เรื่องราวที่เรานำมาเล่าให้ทุกๆ คนฟังกันในวันนี้ คือ เรื่องราวของ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จํากัด
ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทยแท้ๆ ก่อตั้งโดย ดร.แสงสุข พิทยานุกูล
ซึ่งบริษัทนี้ ทํายอดขายในปีล่าสุดถึง 1,961 ล้านบาท ซึ่งหลายๆ คนอาจจะคิดว่านี่มันต้องเป็นบริษัทใหญ่โต
หรือว่าเป็นบริษัทที่ถูกส่งต่อมาจาก Business Family (ธุรกิจ ครอบครัว) จากรุ่น สู่รุ่น
จนกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่โตจนถึงทุกวันนี้แน่ๆ
แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ เพราะเรื่องราวความสำเร็จทั้งหมดนี้
เกิดขึ้นจาก ความพยายาม ของชายคนหนึ่ง ที่อยากให้ธุรกิจเดิมของตัวเองนั้น ไปต่อ ดร.แสงสุข พิทยานุกูล ครับ
ย้อนอดีต…
ดร.แสงสุข เป็นลูกคนที่ 8 จากพี่น้องทั้งหมด 9 คน และ อาศัยอยู่ในย่านเยาวราช
ทําธุรกิจที่เกี่ยวกับการนําเข้าแล้วก็ส่งออกสมุนไพร ทําให้ ดร.แสงสุข คุ้นเคยกับวงการยามาตั้งแต่เด็กๆ
หลังจากที่เรียนจบ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดร.แสงสุขก็เดินทางเข้ามาทํางานในแวด วง
ของ วงการยาอีกเหมือนเดิมครับ ซึ่งคราวนี้เป็นพนักงานขายยา หน้าที่ของเขาคือดูแลการขายยา
ให้ทั้งโรงพยาบาล , คลินิก , แล้วก็ร้านขายยา ในภาคตะวันออก และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งหลังจากที่ทํางานได้สักพัก มีเงินเก็บสักก้อน
ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ผู้บริหารบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จํากัด ผู้ให้กำเนิด ผลิตภัณฑ์ Smoothe E และ ยาสีฟัน Dentiste
บินลัดฟ้า สู่ทางใต้ของ USA
ดร.แสงสุข ตัดสินใจ บินไปสหรัฐอเมริกา เพื่อไปเรียนต่อ
ซึ่ง ดร.แสงสุข ก็ได้เรียนจบ จากมหาวิทยาลัย Louisiana
หลังจากเรียนจบ เขาก็กลับมาที่ไทยและก็ยังคงทำงานในวงการยาอีก เหมือนเดิม ครับ
โดยเข้าไปสมัครงานกับบริษัทยา ที่เป็น International Company คือเป็นบริษัทยา ข้ามชาติขนาดใหญ่
เกือบ 10 ปี
หลังจากที่ ดร.แสงสุข ได้งานที่บริษัทยาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
เขาได้ทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ อยู่ตรงนั้น ถึง 6 ปี
ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลา ที่นานพอสมควร
จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ดร.แสงสุข ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง
และคิดว่าตัวเขานั้นก็อยู่ที่นี่มาจะ 10 ปีแล้ว
จริงๆ แล้วตัวเขา ต้องการชีวิตแบบไหนกันนะ
เป็นคำถามที่ตัวของเขา ยังตอบตัวเองไม่ได้ ในทันที
แต่สุดท้าย เมื่อเวลาได้ผ่านไป ดร.แสงสุข ก็รู้สึกว่า
สิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้น ทำไมเราไม่เอามาทำเพื่อตัวเอง
เป็นของตัวเองกันนะ การเป็นพนักงานไม่ได้ทำให้ชีวิตก้าวหน้าได้เท่าไหร่นัก
ในตอนนั้นเอง ที่ตัวของเขานั้นได้รู้สึกว่า
จริงๆ แล้วเขาอยากจะเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจตัวเองมากกว่า
และจุดนี้เองครับ เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้ว ดร.แสงสุข ก็ไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า ….
ลาออก!!!
ใช่ครับ ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้คงเดาได้ไม่อยาก ว่า ดร.แสงสุข จะลาออกจากงานที่ทำมานานเกือบ 10 ปี
เพียงเพราะคิดได้จริงๆ ว่าตัวเองนั้นต้องการอะไร อยากเป็นหรืออยากทำอะไร เรื่องราวแบบนี้ก็เกือบจะเป็น สูตรสำเร็จของนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่ที่เขาทำกัน ไม่ว่าในไทย หรือ ระดับโลก
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการที่คนๆ หนึ่งรู้ว่าตัวเองนั้นชอบอะไร นั่นคือความกล้า ที่จะเริ่มโดยทันที ครับ
มีหลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จได้ เพราะพื้นฐานดี และ ก็ยังมี อีกหลายๆ คน ที่ประสบความสำเร็จได้
จากความมุมานะ ของตัวเอง บุคคล 2 กลุ่มนี้ แม้จะมีความต่างกันอยู่บ้าง แต่จุดที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ ความกล้า
ไม่ใช่แค่การ กล้า ที่จะ ลาออก นะครับ แต่ต้องกล้า ที่จะคิดว่า สิ่งนี้แหระ ฉันจะทำให้ได้
มันคือการ หมกมุ่น + ความรู้ ประสบการณ์ ครับ
เอาล่ะ เรามาเดินทางกันต่อครับ แวะนาน เกินไปหน่อย
ร้านขายยา
หลังจากที่ ดร.แสงสุข ลาออกจากงานประจำมา เขาก็ได้มาเปิด ร้านขายยาเป็นของตัวเอง
โดย มีสาขาแรก ตั้งอยู่ที่ ศูนย์การค้าสยาม
นั่นเป็นการ ตัดสินใจครั้งใหญ่ ของ ดร.แสงสุข
จากการลาออกด้วยเงินเดือนที่อยู่ที่บริษัทเก่า
ในสมัยนั้นคือ ปี 2532 ก็ประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว
สมัยนั้น ดร.แสงสุข ได้เงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท
ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยครับ เป็นการตัดสินใจที่ยากมากครั้งหนึ่ง
แต่ว่า หลังจากที่ออกมาเปิดร้านขายยาเป็นของตัวเองแล้ว กลายเป็นว่าทํารายได้ได้ดีเกินคาด
อาจจะด้วยความที่ ดร.แสงสุข มีความเชี่ยวชาญ มีความเข้าใจในอุตสาหกรรม ยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
มีความเข้าใจลูกค้า มีความเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์และสินค้าทั้งหมดของตัวเอง
ดร.แสงสุข ได้ก่อร่างสร้างตัวมา ทําให้ร้านขายยาของเขา
สามารถทํารายได้ ประมาณ 2 แสนบาท ต่อเดือน
อะไรคือความแตกต่าง ของร้านขายยา ดร.แสงสุข ?
ดร.แสงสุข ได้อธิบายว่า
จุดที่ทำให้ร้านขายยาของเขานั้นแตกต่างจากร้านอื่นก็คือ
ทำเลร้าน ที่ตั้งอยู่ กลางสยาม ครับ
คนที่เดิน ผ่านไปผ่านมา โดยเฉพาะ ชาวต่างชาติ
ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในตอนนั้น มีความกลัวโรค “มาลาเรีย”
ชาวต่างชาติ ก็จะเดินเข้ามาในร้านขายยา แล้วถามว่า มีอะไรที่ช่วยป้องกันไข้ได้มั้ย?
ด้วยความที่ ดร.แสงสุข เก่งภาษาอังกฤษ
ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วครับ เพราะเรียนจบจาก สหรัฐอเมริกามา
ก็กลายเป็นร้านขายยา เพียงไม่กี่แห่ง ที่สามารถสื่อสารกับ ชาวต่างชาติได้
เมื่อชาวต่างชาติได้พูดคุย ได้เจรจา ก็เกิดความเชื่อถือขึ้นมา เกิดความมั่นอกมั่นใจ
ก็เลยกลายเป็นลูกค้าของร้านขายยาแห่งนี้ เพราะสื่อสารกันเข้าใจนั่นเอง
และร้านขายยาแห่งนี้ ก็ได้รับความนิยม จากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในที่สุด
เพราะเมื่อเทียบกับร้านขายยา รายอื่นๆ ในตอนนั้น
มีแต่ร้านขายยา ที่ไม่สามารถสื่อสารหรือให้คำแนะนำ กับ ชาวต่างชาติได้
ลูกค้าต่างชาติ เลยพากันมาต่อคิวที่ ร้านของ ดร.แสงสุข แทน
ฉันอยากมีอิสระ
จุดที่น่าสนใจ อย่างหนึ่งของ ดร.แสงสุข ในช่วงที่เขานั้น ลาออก จากงานประจำ
เขาให้สัมภาษณ์ว่า
ตัวเขาเองนั้น อยากจะมีชีวิต ที่เป็นอิสระมากขึ้น
เลยตัดสินใจลาออกจากงานประจํามาประกอบธุรกิจของตัวเอง
แต่พอได้มาใช้ชีวิตเป็นผู้ประกอบการจริงๆ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ดร.แสงสุข บอกว่าตอนที่อยู่งานประจํา มีรายได้ 5 หมื่นต่อเดือน
แต่ว่าพอมาทำธุรกิจของตัวเอง มีรายได้ หลัก แสน-2 แสน บาท ก็จริงอยู่
แต่ว่าเหนื่อย กว่าเดิมหลายเท่ามากๆ
เพราะเขาต้องทํางานอย่างไม่มีวันหยุด ตั้งแต่ 7 โมงเช้า จนถึงเวลาห้างปิด
ทําอย่างนี้เรื่อยๆ ถึงแม้ว่ารายได้ของครอบครัว ดร.แสนสุข จะดีขึ้น
แต่ ก็ยังต้องทํางานหนักอยู่ดี
ในขณะเดียวกันตัวเขาเอง ก็มีภาระที่เพิ่มมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือว่าส่งลูกๆ ไปเรียนหนังสือ
ซึ่งสถานการณ์ตอนนั้น ก็ดูเหมือนจะกําลังไปได้ดีครับ แต่ว่าก็ต้องเจอกับข่าวร้าย….
คุณไม่ได้ไปต่อ
จดหมายจากห้างสรรพสินค้า ส่งตรงมายังร้านขายยาที่ตั้งอยู่กลาง สยาม
โดยมีเนื้อความว่า
“จะไม่ให้สัญญาต่อพื้นที่”
เพราะทางห้างจะนำพื้นที่ตรงนี้ ไปพัฒนาเป็นอย่างอื่น
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ขนาดผู้เขียนเองยังตกใจ เหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดี แต่สุดท้ายก็โดนไล่
ด้วยเหตุผลที่ว่า จะนำพื่นที่ตรงนั้น ไปพัฒนาเป็นอย่างอื่น
สถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
เป็นไปได้ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
เป็นเรื่องน่าเศร้าครับ แต่เราก็โทษห้างสรรพสินค้าไม่ได้
เพราะตรงนั้น ก็เป็นพื้นที่ของเขาจริงๆ แม้จะดูเหมือนว่าโดนกลั่นแกล้งก็ตาม
แต่ๆ
ยังมีความโชคดี ท่ามกลางสถานการณ์ อันตึงเครียดนี้ อยู่ครับ คืออะไรนะ
…. งั้นเราไปกันต่อครับ ….
เหนื่อยล้า ทำไมถึงทำแบบนี้
ความกังวล กับทุกๆ อย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกับ ดร.แสงสุข ในตอนนั้น ครับ
ไม่ว่าจะเป็น ภาวะ ความตึงเครียดจากความเหนื่อยล้า ในการทํางาน
ภาระ ที่รู้ว่าตัวเองในฐานะหัวหน้าครอบครัว มีภาระที่ต้องแบกอยู่
และ กำลังจะเสียความสามารถของความเป็นหัวหน้าครอบครัวไป
ทุกอย่างที่เหมือนกําลังจะไปได้ดี แต่มันกำลังจะหยุดชะงักลง
ในวันนั้น ดร.แสงสุข ถามว่า
ทำไมเขา ต้องย้ายออกด้วย
ในเมื่อทุกอย่างที่เขาทำนั้น มันสุจริต มันดี และก็กำลังไปได้สวย
ทำไม เขาต้องโดนขัดขวางอย่างนี้ด้วย…
ในเวลานั่นเอง คนที่เข้ามาให้กําลังใจ ดร. แสงสุข
แล้วทําให้ตัวเขานั้น สามารถสร้างอาณาจักรมาได้จนถึงทุกวันนี้
นั้นคือภรรยา ของเขาครับ
พลัง แห่งคำปลอบใจ (จากภรรยา)
ภรรยา ของ ดร.แสงสุข ได้ให้คำปลอบใจเขาง่ายๆ ประโยคเดียวเลยครับ
“ไม่เป็นไรนะ ห้างเขาคงอยากให้เรา ไปรวยกว่านี้ ที่อื่น”
ซึ่ง ดร. แสงสุข บอกว่า โอ้โฮ มันยากนะ แต่พอคิดดูแล้ว ก็เป็นจริงอย่างที่ภรรยาเขาว่าครับ
แทนที่จะมานั่งจมปลักกับความทุกข์ตรงนี้
ดร. แสงสุข บอกว่า นี่น่าจะเป็นโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่และไปได้ไกลกว่าเดิม
ฮึดสู้!
หลังจากผ่านเหตุการณ์อันตึงเครียดมาได้ ด้วยคำปรอบใจจากภรรยา
ดร.แสงสุข ก็เริ่มต้นใหม่ จากการคัดเลือกสินค้าที่อยู่ในร้านของตัวเองครับ
ดูว่าสินค้า 10 อย่างที่ขายดีที่สุดมีอะไรบ้าง
เมื่อเลือกได้แล้วก็ตัดสินใจว่าสินค้า 10 อย่างนี่แหละที่ขายดีที่สุด ในร้านของฉัน
ถ้าเอาทั้งหมดนี้ไปวางขายในร้านขายยาอื่นๆ ก็น่าจะขายดีเหมือนกัน
ดร.แสงสุข จึงเริ่มพัฒนาสินค้าทั้ง 10 อย่างนี้ขึ้นมา
แต่เมื่อเวลาผ่านไป สินค้า 10 ตัวนี้ ก็ไม่ใช่ทุกตัว ที่ประสบความสำเร็จ
สินค้าบางชิ้น เริ่มทยอยปิดไป ทีละตัวๆ
จนเหลือแค่ตัวสุดท้าย นั่นคือ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า
ที่เรารู้จักกันดีในปัจจุบัน ภายใต้ชื่อ Smooth E ครับ
ดร.แสงสุข บอกว่า หากวันนั้นไม่มีสินค้าไหนเลยที่สามารถไปต่อได้
สุดท้ายแล้ว ก็คงต้องกลับไปทำงาน บริษัทเหมือนเดิม.
แต่โชคดีที่เจ้าตัว Smooth E ที่ ดร.แสงสุข ตั้งใจพัฒนาสูตร พัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมา
ได้รับผลตอบรับที่ดีจริงๆ ครับ
ลูกค้าเห็นผลเมื่อนำไปใช้ ลูกค้าชอบ
และเป็นสินค้าที่ทำกำไรได้ดีมากๆ ของ ดร.แสงสุข ในเวลานั้น
ทำให้เขามีแรง มีกำลังใจ ที่จะฮึดสู้ต่อ
“SMOOTH E”
หลังจากที่เห็นแล้วว่า เจ้า Smooth E ตัวนี้ มีอนาคต ดังนั้น ดร.แสงสุข จึงเริ่มคิดที่จะพัฒนาผลิตภัณต์นี้ ให้ดียิ่งขึ้น
จึงเริ่มขยับจากครีมลดรอยแผลเป็น มาเป็นโฟมไม่มีฟองอย่างที่เราทุกคน คุ้นเคยกันในปัจจุบันครับซึ่งหลังจากพัฒนามาเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า ได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาด มากๆ ครับ
ทำไม ถึงชื่อ SMOOTH E ?
เทคนิคการตั้งชื่อสินค้าตัวนี้ ดร.แสงสุข บอกว่า
อย่าไปคิดเยอะ คำว่า Smooth คือ เรียบเนียน
ส่วน E มาจาก วิตามิน เมื่อเอามาใช้กับหน้าเราเยอะๆ ก็จะทำให้เนียน ผ่อง
2 คำนี้มาต่อกัน Smooth และ E กลายเป็น Smooth E
จากผิวหน้า สู่ช่องปาก
ถึงแม้ Smooth E จะประสบความสําเร็จมาในระดับหนึ่ง
แต่ ดร.แสงสุข ก็ยังมองว่านั่นไม่ใช่จุด ที่เป็นทางตันของเส้นทางความสําเร็จของเขา
ดร.แสงสุข มองว่าเขาจะต้องหาโอกาส ที่จะขยายไปในธุรกิจอื่นๆ
ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ ดร.แสงสุข มองเห็นก็คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า
ทั่วโลกก็มีคนแข่งขันกันเยอะแยะมากมาย มีแบรนด์ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่
แต่มีอยู่อุตสาหกรรมหนึ่งที่ ดร.แสนสุข รู้สึกสนใจมากๆ ครับ
นั่นคือ อุตสาหกรรมของ ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก
ที่เอาจริงๆ คนแข่งขันในตลาดนี้ ยังไม่ได้เยอะ ครับ
และ ยังไม่ได้มีผลิตภัณฑ์ที่ดีๆ มากมาย ที่ให้ผู้บริโภคได้เลือกสรรกันได้อย่างเพียงพอ
ดร.แสงสุข เลยตัดสินใจผลิตยาสีฟัน ร่วมกับ บริษัทฝรั่งเศส
และทำการผลิตออกมาหลักหมื่น หลอด
ปรากฏว่า….
ไม่เหมือนที่คุยกันไว้
หลังจากที่ ดร.แสงสุข ได้ทำการผลิตยาสีฟัน ออกมาวางขาย แต่กลับขายไม่ออก
แน่นอนว่า ถึงแม้ยาสีฟันนี้จะทําออกมาดีกว่า มีความ premium กว่ายาสีฟันอื่นๆ ยังไง
แต่ในเมื่อลูกค้าเขารู้จักและคุ้นเคยกับยาสีฟันยี่ห้อเก่าอยู่
มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องเปลี่ยนมาใช้ ยาสีฟันของ ดร.แสงสุข กันล่ะ?
ขายไม่ออก แต่มีตัวช่วย
ในตอนนั้น ดร.แสนสุข ยังคงมองว่าเป็นโอกาส ครับ
หมื่นหลอดที่ผลิตมานี้ เขาไม่ได้ปล่อยให้มันหมดอายุ ทิ้งไปเปล่าๆ
ดร.แสงสุข ตัดสินใจ ที่จะไปถามความคิดเห็นจากคนที่สําคัญที่สุด
และเป็นคนที่ ดร.แสงสุข เชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ดีกว่าตัวเอง
นั่นก็คือทันตแพทย์ครับ
ดร.แสงสุข ตัดสินใจส่งยาสีฟันทั้งหมดนี้ไปให้ทันตแพทย์ทั่วประเทศ
แล้วก็ส่งจดหมายไปด้วยว่า หากได้รับแล้วให้นำไปลองใช้
แล้วช่วยคอมเมนต์ ช่วย feedback กลับมาหน่อย
ว่ามีอะไรที่ดี มีอะไรที่ชอบ
หรือ อยากจะให้ปรับปรุง พัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวนี้ยังไง
ซึ่งปรากฏว่าหลังจากที่ส่งไปก็ไม่ใช่ว่า
ทันตแพทย์ทุกคน ที่ได้รับไปลองใช้แล้วคำส่งคำแนะนำกลับมา
แต่มี ทันตแพทย์อยู่จํานวนหนึ่ง ที่ได้เอาไปทดลองแล้วเขียนคอมเมนต์กลับมาให้ ดร.แสนสุข
Feedback จากหมอฟัน
ซึ่งปรากฏว่า ทันตแพทย์หลายคน
พูดไปในทางเดียวกันครับว่า ยาสีฟันตัวนี้ เขาสังเกตได้ถึงจุดเด่นอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือการลดกลิ่นปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเอาไปใช้แปรงฟันก่อนเข้านอน
และทันที ที่เราตื่นมา กลิ่นปากจะไม่ค่อยมี
ไม่เหมือนกับยาสีฟันอื่นๆ
เพราะเมื่อเวลาเราเข้านอนแล้ว ก่อนที่เราเข้านอน เราก็ต้องแปรงฟันใช่ไหมครับ?
ระหว่างที่เรานอน แบคทีเรียในช่องปากมันก็ยังมีอยู่ แม้จะแปรงฟันแล้วก็ตาม
มันก็จะสร้างเกิดให้เป็นกลิ่น ดังนั้นเวลาตื่นมาหลายๆ คนก็จะมีกลิ่นปาก
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติ ของยาสีฟันทั่วไปในสมัยนั้นเลย
คือมีความสามารถในการช่วยลดกลิ่นปากหลังตื่นนอนได้ในระดับที่ไม่ดีนัก
แต่ทันตแพทย์ส่วนใหญ่วันนั้น บอกว่า นี่คือสิ่งที่ยาสีฟันของคุณสามารถทําได้นะ
ดร.แสงสุข เห็นอย่างนั้น รู้เลยว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นประเด็นที่สามารถเอามาขยายผลต่อได้
และสามารถเอามาเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย
ก็เลยเป็นที่มา ของการตั้งชื่อผลิตภัณฑ์ ตัวนี้ครับ
กำเนิด DENTISTE
ทุกๆ คนคงจำได้ใช่มั้ยครับ ก่อนหน้านั่น ดร.แสงสุข ในเรื่องของโฟมล้างหน้า
ที่เขา ได้ให้เหตุผลของการตั้งชื่อ ว่าอย่าไปคิดเยอะ คิดมาก
ซึ่งนั่นก็เป็นเทคนิคการตั้งชื่อสินค้าของ ดร.แสงสุข ครับ
แน่นอนว่า พอมาถึง ยาสีฟัน การตั้งชื่อ ก็เน้นง่ายจนเรานึกไม่ถึงกันเลยทีเดียว
สำหรับยาสีฟันตัวนี้ จากตอนแรก ขายไม่ออก จึงนำส่งไปให้ ทันตแพทย์ทั่วประเทศได้ใช้
และให้พวกเขา feedback กลับมา ทำให้ ดร.แสงสุข ได้รู้ถึงจุดเด่นของสินค้าชิ้นนี้ของตัวเอง
เขาจึงตั้งชื่อสินค้าตัวนี้ เพื่อขอบคุณทันตแพทย์ทุกคน ที่ร่วมกันให้คำแนะนำ สินค้าชิ้นนี้ของเขา
จึงใช้คำว่า หมอฟัน เป็นภาษาฝรั่งเศษ นั่นคือ Dentiste มาใช้เป็นชื่อแบรนด์
และจากจุดเด่นนี้เอง ดร.แสงสุข จึงใช้มันในการขยายผลไปทําการตลาด
ที่พวกเรารู้จักกันดี คือ การตลาดแบบ Emotional Marketing
หรือการตลาดแบบเน้นที่อารมณ์และความรู้สึกของคนดู
Emotional Marketing
ผมอยากจะหยุดพูดคุยกับทุกคนในจุดนี้สักนิดหน่อยครับ
ทุกครั้งที่เราทําการตลาด ทุกครั้งที่มีคนยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้า หรือ บริการของเรา
เขาไม่ได้จ่ายเงิน เพื่อของที่อยู่ในนั้น ถ้าลูกค้าซื้อ เพื่อของที่อยู่ในนั้น
เขาก็ต้องคิดราคาต้นทุนของสินค้าของคุณ
เหมือนร้านข้าวทั่วประเทศ ที่มีราคาหลากหลาย
เราอาจจะมองว่าร้านหรูๆ ร้านที่ดีๆ
เขามีต้นทุนของข้าว ของหมู ของผัก ที่แพงกว่าคนอื่นหรือเปล่า
ซึ่งก็อาจจะไม่ได้แพงกว่าขนาดนั้น แต่ที่เรายอมจ่ายในราคาที่มากกว่า
นั่นเป็นเพราะ อารมณ์และความรู้สึก
เช่น
ถ้าผมบอกว่า มีร้านกับข้าวธรรมดาร้านหนึ่ง
คุณก็จะตีมูลค่าในหัวของคุณว่ามันควรมีราคาเท่าไหร่
คุณก็จะมีช่วงราคาที่คุณยินดีจะจ่ายให้กับ ร้านกับข้าวธรรมดาร้านนี้
ที่คุณจะไปกินแค่พอให้หายหิว
แต่ถ้าสมมุติผมบอกว่า
แล้วนี่คือ ร้านอาหารที่คุณจะได้ไปกิน ไปเดตครั้งแรกกับแฟนของคุณ
และมันจะเป็นโมเมนต์ความรู้สึกที่คุณ จะจดจําไปตลอด จนถึงวันแต่งงานของคุณ
วันที่คุณมีลูก มีหลาน หรือ จดจำไปจนวันตาย
นี่จะเป็นร้านอาหาร ที่ให้ความรู้สึกพิเศษสุดๆ กับคุณ
ผมเชื่อว่าราคาในหัวของคุณจำเป็นจะต้อง คิดเลขใหม่แล้วว่า
มันน่าจะเป็นราคาเท่าไหร่? 2 ร้านนี้
อาหารเหมือนกัน แต่ความรู้สึกต่างกัน
สิ่งนี้ คือเรื่องสําคัญของนักการตลาดที่คุณต้องเข้าใจ
ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะต้นทุนของสินค้าคุณ ลูกค้าซื้อเพราะอารมณ์
เมื่อเห็นสินค้าของคุณ เมื่อเห็น Branding ของคุณ
เขามีอารมณ์อะไรขึ้นมา เขามีความรู้สึกอะไร
คุณควรจะเอาจุดนั้นเป็นสารตั้งต้นครับ
เมื่อคุณมีสินค้าแล้ว คุณอยากให้เขารู้สึกอะไร จดจําอะไร มีอารมณ์แบบไหน
แล้วคุณถึงจะเอาสารตั้งต้นนั้น ไปคิดว่าคุณจะทําแคมเปญการตลาดอะไร
เพราะทุกวันนี้เราเห็นหลายๆ แบรนด์ ที่เริ่มทําการตลาด
ส่วนตัว ผมมองว่ามันอาจจะเริ่มต้นผิดทางนิดหนึ่ง
ที่เริ่มต้นจากคําว่า เรามีสินค้าแล้ว เราทําการตลาดอะไรดี?
คือมันเป็นการคิดที่มัน กลับหัวกลับหางครับ
เพราะว่าจริงๆ มันควรจะเริ่มต้นจากการที่เราอยากให้ลูกค้ารู้สึกอะไร?
จดจําอะไร? มีอารมณ์อะไร? แล้วเราจะมีแผนการสื่อสาร
แผนการทําการตลาดยังไงบ้าง?
เพื่อให้ลูกค้าจดจําสิ่งนั้นได้
และคนที่ทําเรื่องนี้ได้ดีมากๆ ก็คือ ดร.แสงสุข ครับ
เพราะ ผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า Dentiste นี้ เริ่มต้นมาจากคําแนะนําว่า
เมื่อเรามีความรู้สึกไม่มั่นใจเวลาตื่นนอนแล้วมีกลิ่นปาก
ดังนั้น โฆษณาชุดสําคัญของ Dentiste ที่ทําให้โด่งดังเป็นพลุแตกและประสบความสําเร็จมาจนทุกวันนี้
คือ โฆษณาเรื่องเกี่ยวกับกลิ่นปาก ถ้าคุณยังจํากันได้. มันคือโฆษณาที่มีคู่รัก คู่หนึ่ง
ตื่นมาเจอกัน แล้วไม่กล้าพูดกัน
เพราะอะไรครับ?
เพราะ ทุกคนต่างไม่มั่นใจในกลิ่นปากของตัวเอง
แต่ Dentiste อยู่ตรงนี้ และ Dentiste จะทําให้ความรู้สึกนั้นของคุณหายไป
คุณจะสามารถตื่นมาพร้อมกับความมั่นใจในตอนเช้า
และนี้คือ จุดเริ่มต้นความสําเร็จของ Dentiste
ปัจจุบัน Dentiste ประสบความสําเร็จมากๆ ครับ
แล้วก็ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย อย่างเดียว
เพราะ Presenter คนล่าสุด ของ Dentiste ในตอนนี้ ก็คือ Lisa Blackpink (ลิซ่า)
ที่ได้มาร่วมงานกับแบรนด์ยาสีฟัน ของคนไทยแห่งนี้
ทิ้งท้าย
อ่านมาถึงจุดนี้ สําหรับคุณ คุณได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องราวของ ดร.แสงสุข กันบ้างครับ
ส่วนตัวผมเองมีอยู่หลายอย่างเลยครับ แล้วก็น่าจะเอามาเป็น ทั้งแรงบันดาลใจ
แล้วก็มาเป็นทั้งแนวทางในการทํางาน ทําธุรกิจของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรกครับที่ผมชอบที่สุดของ ดร.แสงสุข
นั่นก็คือการยอมรับ ยอมรับในที่นี้ คือตอนที่ ดร.แสงสุข เปลี่ยนจากงานประจํามาทำธุรกิจตัวเอง
ถึงแม้ว่ารายได้จะมากขึ้น แต่ ดร.แสงสุข ก็ยังคงอยู่กับความเป็นจริงครับว่า รายได้ดีกว่า ยอดขายดีกว่าก็จริง
แต่มันก็แลกมากับภาระที่มันมากขึ้น และ ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ในฐานะหัวหน้าครอบครัวคนหนึ่ง
เขารู้ว่านั่นคือภาระที่ เขายังต้องโอบรับมันไว้ เขายังมีความเป็นห่วง
ทั้งในเรื่องของ ครอบครัวของเขา ในธุรกิจของเขา ลูกน้องของเขา ภรรยาเขา ลูกของเขา
และเขารู้ตัวเองว่า เขาก็ยังจะต้องทํางานหนักแบบนี้ต่อไปอีก เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เพื่อปลายทางที่ประสบความสําเร็จเหมือนอย่างเช่นวันนี้
ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เพราะว่า เห็นหลายๆ คนในฐานะผู้ประกอบการ
ที่คิดว่า ลาออกจากงานประจํามาทําธุรกิจ บางทีเราเห็นเม็ดเงินตรงนี้ มันหอมหวาน ตัวเลขมันเยอะ
แต่คุณก็ต้อง ไม่ทิ้งความจริงไปข้อหนึ่ง คือ คุณไม่ได้จะสบายกว่าแน่ๆ คุณไม่ได้กําลังจะมีอิสระมากกว่าแน่ ๆ
นั่นคือบทบาท ภาระและหน้าที่ของคุณที่คุณจะต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น
มันมีข้อดี แต่มันก็มีข้อเสียที่เราต้องยอมแลกกันไป
ผมไม่ได้กําลังจะบอกว่าการออกมาเป็นผู้ประกอบการเป็นเจ้าของธุรกิจมันไม่ดีนะครับ
แต่ เหรียญนั้นมีสองด้านเสมอ
และดร.แสงสุข คือตัวอย่าง
ที่ทําให้เราได้เห็นว่า เขารู้ดี ว่าเหรียญมันมีสองด้าน
ไม่ใช่เห็นแต่ด้านดีแล้วตัดสินใจ เทไปด้านเดียว
ซึ่งผมว่าความรับผิดชอบ ความเป็นสุภาพบุรุษของ ดร.แสงสุข
คือเหตุผลที่ทําให้เขาประสบความสําเร็จ
และเป็นที่ เคารพนับถือของคนในวงการธุรกิจ
เรื่องที่ 2 ที่ผมได้ เรียนรู้คือ การมองวิกฤติให้เป็นโอกาส
ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้าผมเจอเหตุการณ์เหมือน ดร.แสงสุข ที่ทุกอย่างกําลังไปได้ดี
แต่ว่าเราโดนไล่ที่กระทันหันแบบนี้ ตัวผมเองก็คงเครียดน่าดูเหมือนกัน
แต่ว่า ดร.แสงสุข เป็นตัวอย่างที่ทําให้เราได้เห็นครับ
ว่าในทุกๆ วิกฤติก็มีโอกาสและที่สําคัญที่สุดครับ มีคนที่ดี มีคนที่ให้กําลังใจอยู่ข้างๆ
มันก็จะทําให้เราผ่านปัญหาต่างๆ ผ่านอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตได้ง่ายขึ้น
แต่ถ้าตอนนี้ คุณกําลังเจอวิกฤตอยู่ ธุรกิจคุณกําลังไปได้สวย
แต่ว่ากําลังมีอะไรมาขัด หรือ รู้สึกว่าทําไมโชคชะตาต้องเล่นตลกกับเรา
อยากให้คุณดูกรณีศึกษาของ ดร.แสงสุข ครับ
น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนได้ไม่น้อยเลย
ความสำเร็จ ไม่ใช่ความยั่งยืน
สุดท้ายครับ การที่เราประสบความสําเร็จในระดับหนึ่ง
แต่เราเชื่อว่าเราต้องต่อ ยอดความสําเร็จนั้น
เพราะไม่มีความสําเร็จใด จีรัง ยั่งยืนเสมอไป
ถึงแม้ ดร.แสนสุข จะมี Smooth E ที่ประสบความสําเร็จอยู่แล้ว
หลายๆ คนบอกว่าแค่นี้ก็สบายไปทั้งชาติแล้วหรือเปล่า
แต่ดร.แสงสุข บอกว่านั่นมันเป็นแค่จุดเริ่มต้น
และเขายังมองว่ามันมีโอกาสอะไรอีกเยอะที่เขาจะเข้าไปทํา
ไม่ได้ทําเพื่อหวังผลประโยชน์จากผลกําไร แต่เข้าไปทําเพราะมองเห็นว่าตลาดนี้
ยังมีบางอย่างที่เราสามารถทําสิ่งดีๆ เข้าไปเสิร์ฟได้ เหมือนอย่างเช่น Dentiste
ที่กลายเป็นยาสีฟันในดวงใจของใครหลายๆ คน
นิยามของคำว่า นักธุรกิจ
นักธุรกิจ ไม่ใช่คนที่จะมองหาโอกาสว่าจะไปเอาเงินจากกระเป๋าของคุณมาได้อย่างไร
แต่นักธุรกิจที่แท้จริง คือการที่เขาสามารถมองเห็นว่าโลกใบนี้กําลังมีปัญหาอะไรอยู่
แล้วถ้าเขาสามารถเข้าไปแก้ปัญหาตรงนั้นได้ นอกจากคนเหล่านั้นจะถูกแก้ปัญหาแล้ว
มันยังสามารถสร้างผลกําไรให้เราได้อีกด้วย
นี่คือนิยามของผู้ประกอบการที่ดีนะครับและผมหวังว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่คุณจะได้เรียนรู้จาก ดร.แสงสุข
เจ้าของผลิตภัณฑ์อย่าง Smooth E และ Dentiste
สําหรับคุณ
คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง?
อย่าลืมแชร์บทความนี้ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ
ให้กับเพื่อน หรือ ใครก็ตามที่กำลังมองหา เส้นทางการเป็นเจ้าของกิจการ
และอย่าลืมเป็นกำลังใจให้พวกเรา THE INSIDER
แล้วพบกันใหม่ ในบทความหน้า
.
หากคุณชอบเรื่องราวที่น่าสนใจแบบนี้ เราขอแนะนำ : เรื่องราวของ มหาเศษรฐี อันดับ 1 ของไทย
.
สวัสดีครับ