Thai Union จากปลากระป๋อง 6 ตันสู่รายได้แสนล้าน
หากพูดถึง SEALECT TUNA, Q Fresh หรือ King Oscars หลาย ๆ คนคงจะรู้จัก แต่มีไม่มีคนที่จะรู้ว่า ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์และอื่น ๆ อีกมากมาย อยู่ภายใต้เจ้าของเดียวกัน นั่นคือ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปรายใหญ่ของโลก โดยมีจุดเริ่มต้นในปี 1977 ในรุ่นที่ 1 และส่งต่อให้กับรุ่นที่ 2 ในปี 1988 โดยรุ่นเริ่มต้นก็เป็นเพียงบริษัท SME เล็ก ๆ ที่ผลิตปลากระป๋อง วัตถุดิบวันละ 6 ตัน จากวันเริ่มที่เริ่มต้น เดินทางมาเกือบ 50 ปี ซึ่งตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ใช้วัตถุดิบวันละ 2,000 ตัน
การทำธุรกิจในช่วงแรก ต้องทำให้ธุรกิจอยู่ให้รอด โดยมองหาว่าจุดแข็งของตัวเองคืออะไร จากนั้นก็ทำผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับตลาด พร้อมกับมองหาธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาสร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในปัจจุบัน มีความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ทำให้ ไทยยูเนี่ยน สามารถเป็นบริษัทที่ผลิตปลาทูน่ากระป๋อง ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วย Market Share ในด้านการผลิตที่ 20% รวมไปถึงการขยายตลาดไปสู่อาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยง มาจากการเน้นไปที่เรื่องของคุณภาพ ต้นทุนต่ำ สู้ราคาได้ และการบริการที่ดี
และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ ผู้นำองค์กรต้องมี Growth Mindset เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้นำต้องคิดเสมอว่าสิ่งใดที่องค์กรสามารถทำได้เพิ่มเติมอีก สำหรับไทยยูเนี่ยน รู้ว่าตลาดที่ใหญ่สำหรับทูน่า คือตลาดอเมริกาและยุโรป แต่ถ้าจะไปเริ่มต้นใหม่ คงใช้เวลาหลายปีกว่าจะโต และไม่มีสิ่งใดการันตีว่าจะสำเร็จ ซึ่งทางลัดก็คือ “ต้องซื้อกิจการ” ในประเทศเหล่านั้น สิ่งสำคัญต่อมาเมื่อต้องไปแข่งขันในระดับโลก ต้องมี “ความเชื่อมั่น” ในความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเราสามารถพิสูจน์สิ่งนี้ได้จากการแข่งขันในประเทศก่อน เพราะการไปแข่งขันในตลาดโลกไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ไทยยูเนี่ยนจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในวันนี้ แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายถึงหลักร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ทุกความผิดพลาด เป็นบทเรียนเพื่อให้ก้าวต่อไป เพื่อหา New S-Curve แต่สิ่งนี้สำหรับไทยยูเนี่ยน อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดในระยะยาว จึงต้องมองกลับมาที่จุดแข็งของตัวเอง แล้วทำการ Transformation ทั้งในส่วนของการทำงาน การจัดซื้อจัดจ้าง และการสร้างความร่วมมือภายในองค์กรให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตขึ้นไป จากรายได้ 1.3 แสนล้านบาทในปี 2023 ไปสู่ 2.45 แสนล้านบาทในปี 2030 โดยมีแผนกลยุทธ์ 2030 ที่จะ Transformation บริษัทในการก้าวขึ้นเป็นบริษัทด้านสุขภาพและโภชนาการทางทะเลชั้นนำของโลก โดยประกอบด้วย 3 เรื่องหลัก
(1) ส่งเสริมธุรกิจหลักที่เข้มแข็งอยู่แล้ว ให้เข้มแข็งขึ้นไปอีก
(2) หาคลื่นลูกใหม่ทางธุรกิจ มุ่งเน้นไปที่ประเภทธุรกิจที่เติบโตรวดเร็ว
(3) ออกไปหาโอกาสในน่านน้ำใหม่ มุ่งเน้นไปที่การสำรวจความคิดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ
โดยมีแผนที่จะสนับสนุนกลยุทธ์ปี 2030 จำนวน 2 แผน ประกอบด้วย
(1) แผนสำหรับการเติบโตในระยะยาว เรียกว่า “โปรเจกต์โซนาร์” ซึ่งเป็นการปรับรูปแบบการดำเนินงาน สร้างความเป็นเลิศในด้านการจัดซื้อและการผลิต รวมไปถึงการใช้ดิจิตอลเข้าช่วยบริหารจัดการด้านต่าง ๆ ได้มากขึ้น
(2) แผนเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ เรียกว่า “โปรเจกต์เทลวินด์” ซึ่งเป็นการโฟกัสไปที่บริษัทลูกอย่างบริษัท บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง
สุดท้ายแล้ว ในการ Transformation ครั้งนี้ของ ไทยยูเนี่ยน ไม่ใช่แค่ปรับเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายทางด้านรายได้และกำไร แต่ในแง่ของธุรกิจ ถือเป็นการปรับตัวครั้งสำคัญ เพื่อพร้อมรับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงที่ยังมาไม่ถึง และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้เร็ว สร้างความได้เปรียบให้กับธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น คุณสมบัติพื้นฐานของผู้นำองค์กรที่ควรมีคือ ความมุ่งมั่น ตั้งใจ และอดทน รวมไปถึงการเปิดรับและพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผนวกเข้ากับความขี้สงสัยหรือความอยากเรียนรู้ อยากเข้าใจ รู้จักตั้งคำถามให้มาก อย่ากลัวความผิดพลาด เพราะทำแล้วผิดพลาด ดีกว่าการไม่ลงมือทำอะไรเลย
สุดท้าย สิ่งที่คุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ฝากถึงคนรุ่นใหม่ไว้ว่า ต้องรีบค้นหาตัวเองให้เจอ เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีค่า และสำหรับผู้ที่พึ่งเริ่มต้น แนวคิด Work-Life Balance คงไม่สามารถใช้ได้ เพราะไม่มีใครจะเติบโตหรือประสบความสำเร็จได้จากการทำงานน้อย และสิ่งสำคัญในโลกใบนี้ยังมีโอกาสอีกมากมาย เพียงแค่ต้องหาให้เจอ
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– The Secret Sauce Summit 2024
– https://youtu.be/UnH_e7DlC8w?si=cP19LW2rtP7OsnQz
