บทเรียนธุรกิจจาก CEO Aura ที่เริ่มต้นจากศูนย์สู่พันล้าน

เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ทีมงาน THE INSIDER มีโอกาสได้ไปร่วมงาน Today at Apple เป็นกิจกรรมที่ Apple ประเทศไทยจัดขึ้นเพื่อเชิญผู้บริหารมาแชร์ข้อคิดธุรกิจ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่สองแล้ว และดีมากทั้งสองครั้ง ยังไงอย่าลืมติดตามครั้งที่สามกันอย่างใกล้ชิดนะครับ ซึ่งงานในครั้งนี้ เป็นการเจาะลึกเส้นทางสู่ความสำเร็จ และกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนการเติบโต จาก Aura Bangkok Clinic สู่ Aura Wellness โดยคุณเฟม-เจตบดินทร์ ประคุณศึกษาพันธ์ CEO และ Founder Aura Bangkok Clinic ผ่านการสัมภาษณ์โดยคุณนพ-พงศธร ธนบดีภัทร
หนึ่งในสิ่งสำคัญของแบรนด์และมักจะเป็นปัญหาสำหรับเจ้าของแบรนด์หลาย ๆ คน นั่นก็คือ ในตอนเริ่มต้น จะตั้งชื่อแบรนด์ว่าอย่างไร? ซึ่งคุณเฟมก็เป็นเช่นกัน จึงใช้แนวความคิดที่ว่า แล้วบริษัทใหญ่ ๆ ระดับโลก เขาตั้งชื่อด้วยแนวคิดอะไร จึงไปเจอแนวความคิดหนึ่งของ สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ว่า อยากให้แบรนด์ถูกค้นหาเจอเป็นชื่อแรก ๆ ในการค้นหา ดังนั้นต้องเป็นตัวอักษรตัวแรก คือ “A” จากแนวคิดนี้ คุณเฟมจึงนำมาใช้กับแบรนด์ แต่จะตั้งอย่างไรให้เหมาะกับแบรนด์ความงาม ก็ใช้เวลาคิดอยู่พอสมควร จนสุดท้าย มาลงเอยที่คำว่า “Aura” แต่จะเป็นชื่อโดด ๆ ก็อาจจะทำให้คนทั่วไปไม่รู้ว่าแบรนด์ทำอะไร ก็เลยกลายมาเป็น “Aura Bangkok Clinic”
จุดเริ่มต้นของ Aura Bangkok Clinic ย้อนกลับไปประมาณ 9 ปีที่แล้ว โดยคุณเฟม ร่วมกับ Co-founder อีกหนึ่งคน โดยคุณเฟมใช้เงินทุนเริ่มต้น จากเงินออมที่ได้มาจากเงินเดือน ประมาณ 1.7 ล้าน ซึ่งช่วงแรกที่เปิด ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยสามารถทำรายได้ 6-8 แสนต่อเดือน แต่เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 8 ยอดขายก็ตกลงมาเหลือเพียงเดือนละ 1-2 แสนบาท เท่านั้นยังไม่พอ พนักงานก็พร้อมใจกันลาออก รวมไปถึง Co-founder ด้วยเช่นกัน
ซึ่งความจริงแล้ว รายได้ในช่วงแรกที่เปิด เป็นรายได้จากคนในครอบครัวที่มาใช้บริการ ซึ่งทำให้เป็นปัญหาใหญ่ที่ตามมา เนื่องจากรายได้ส่วนนั้น สร้างความมั่นใจว่าได้รับการตอบรับ จึงไม่ได้สนใจเรื่องการทำ Marketing หรือ Branding แต่สนใจเพียงบทความของความเป็นหมอเพียงอย่างเดียว ทำให้สุดท้าย ในปีแรกของการทำแบรนด์ เรียกได้เลยว่า “เจ๊ง”
ทำให้คุณเฟม กลับมามองหาว่าจุดไหนที่ “เรา” ทำให้เจ๊ง เป็นการมองที่ตัวเอง ก่อนที่จะไปโทษปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งพบว่า ความจริงแล้ว การทำแบรนด์หรือบริหารธุรกิจ ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่หน้าได้ดี ก็จะไปได้รอด มันมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Operation, Marketing รวมไปถึง Finance ทำให้คุณเฟม เริ่มไปหาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นจากการอ่าน หรือแม้กระทั่งการไปลงเรียนคอร์ส ทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ตัวเองมีความรู้ที่แท้จริงในแต่ละด้าน แม้กระทั่งความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและภาษี คุณเฟมก็ตัดสินใจไปเรียน
เมื่อหลาย ๆ อย่างเริ่มลงตัว ก็เริ่มรับพนักงานเข้ามาใหม่ แต่กระบวนการสัมภาษณ์ในตอนแรก เมื่อเทียบกับปัจจุบัน แตกต่างกันมาก ในช่วงแรกแทบจะไม่มีมาตรฐานในการคัดคน แต่ทุกวันนี้ พนักงานบางตำแหน่ง ต้องผ่านการทดสอบและทำ workshop มากถึง 5 รอบ เพื่อคัดคนที่เก่งและเหมาะสมเข้ามาทำงาน เพื่อให้ในอนาคต คนเหล่านี้จะเป็นส่วนในการขับเคลื่อนบริษัทไปข้างหน้า ไม่ใช่เพียงแค่ founder เพียงคนเดียวที่เป็นคนขับเคลื่อน
แม้จะผ่านวิกฤตครั้งแรกมาได้ จนทำให้บริษัทกลับมามีรายได้ต่อเดือนมากถึงหลักล้านบาท และพร้อมที่จะเติบโตขึ้นไปอีกขั้น แต่วิกฤตครั้งที่ 2 ก็เข้ามา ซึ่งทุกบริษัทก็ต้องเจอเหมือนกัน นั่นคือ โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อบริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากตัวเลขจากที่เป็นบวก กลับกลายเป็นการขาดทุนเดือนละกว่า 10 ล้าน แต่ด้วยการบริหารจัดการและครอบครัวที่ตอบให้การสนับสนุน ทำให้ผ่านวิกฤตครั้งที่ 2 ไปได้
ปัจจุบัน Aura Bangkok Clinic มีทั้งหมด 15 สาขา พนักงานมากกว่า 500 คน สร้างรายได้ถึงหลักพันล้าน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้แบรนด์เติบโตมาได้ขนาดนี้ ก็เพราะการให้ความสำคัญในเรื่องของคนหรือพนักงาน มาตั้งแต่ช่วงที่พลิกฟื้นจากวิกฤตครั้งแรก โดยความเชื่อที่ว่า คนที่มาทำงานด้วย เขาต้องสนุกกับสิ่งที่เขาทำและทุ่มเทกับงานที่เขาได้รับมอบหมาย เมื่อแบรนด์เติบโตได้ เขาก็พร้อมที่จะได้รับผลตอบแทนที่เขาสมควรจะได้รับ หรือพนักงานคนไหนที่มีความสามารถจริง ๆ คุณเฟมก็พร้อมที่จะสนับสนุนเส้นทางการเติบโต ให้กลายเป็น Co-founder ของแบรนด์ใหม่ ๆ ที่จะเปิดได้ เพราะคุณเฟม มองว่า ตัวเองก็ไม่สามารถจะบริหารเองได้ทั้งหมด หากมีแบรนด์หลากหลายแบรนด์มากขึ้น
หลังจาก Aura Bangkok Clinic เริ่มมีความมั่นคง ก็เริ่มมองไปที่การหาสินค้าและบริการใหม่ ๆ จึงเป็นที่มาของอาหารเสริม “SOLAURA” แม้จะเป็นตลาดที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ด้วยการทำงานหนักของทีมงาน เพียงแค่ 1 ปีก็ทำยอดขายได้ถึง 100 ล้าน และต่อด้วยธุรกิจที่ 3 คือ “AURASOL Wellness & Spa” ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน และแบรนด์น้องใหม่ล่าสุด ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา คือ “Aura Xpress” ก็ได้รับการตอบรับมากกว่าที่คิด จนพื้นที่ร้านไม่เพียงพอสำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการ และมีแผนที่จะเปิดอีกหลายแบรนด์ แต่ด้วยเหตุผลของการเตรียมตัวที่จะ IPO (Initial Public Offering) จำเป็นจะต้องพับแผนเก็บไว้ก่อน
สุดท้ายคุณเฟมฝากข้อคิด สำหรับคนทำธุรกิจไว้ว่า ในตอนเริ่มต้นทำแบรนด์หรือทำธุรกิจ ในฐานะเจ้าของแบรนด์ จำเป็นต้องทำงานให้หนัก ซึ่งคุณเฟมเอง ก็ทำงานมากกว่า 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และการวางรากฐานให้แบรนด์เป็นสิ่งสำคัญ แม้ในช่วงแรกจะเป็นสิ่งที่ยาก แต่การวางรากฐานหรือ DNA ที่ชัดเจนให้กับแบรนด์ได้ ก็จะทำให้แบรนด์มีแนวทางในการเติบโต และประสบความสำเร็จในระยะเวลาที่น้อยลง ดั่งคำกล่าวที่ว่า “การไปถึงเป้าหมาย ไม่ได้วัดกันที่ความเร็ว แต่วัดกันที่ทิศทาง”
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER