จากศิลปินสู่เจ้าของธุรกิจ โอ๊ต ปราโมทย์ บริหาร “โคตรคูล” อย่างไร?

0
Khotkool Production House Workpoint investment in Khotkool Growth of Khotkool company Oat Pramote โอ๊ต ปราโมทย์เวิร์คพอยต์ ลงทุนในโคตรคูล ปัญหาการบริหารธุรกิจ


ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว เป็นจุดกำเนิดของบริษัท Production House เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่ต้องการผลิตรายการเป็นของตัวเอง ซึ่งในตอนเริ่มต้น มีเพียงช่อง Youtube ที่ชื่อว่า “คนหน้าหมี” ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “โคตรคูล” ในปัจจุบัน


บริษัท โคตรคูล จำกัด หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ โคตรคูล (KHOTKOOL) มีจุดเริ่มต้นจากชายหุ่นหมี นามว่า โอ๊ต- ปราโมทย์ ปาทาน โดยเงินลงทุนก้อนแรก ได้มาจากเงินเก็บจากการร้องเพลง โดยตอนเริ่มต้นมีพนักงานเพียงแค่ 2 คน


หลังจากนั้น เมื่อมีรายการเพิ่มขึ้น จึงจ้างพนักงานเพิ่มเป็น 5 คน และเริ่มมีออฟฟิศเป็นของบริษัท จึงทำให้เริ่มทำรายการอย่างจริงจัง ซึ่งรายการแรกที่มีลูกค้า คือ รายการ “หมีพาซิ่ง” โดยเป็นรายรับก้อนแรกของบริษัท จึงทำการจ้างพนักงานเพิ่มอีก 5 คน ภายใต้การบริหารของคุณโอ๊ต เพียงคนเดียว


สาเหตุที่ไม่มีคนมาบริหารงานช่วยหรือให้คนอื่นมาถือหุ้น เพราะนิสัยโดยส่วนตัวของคุณโอ๊ต เป็นคนทำงานเร็ว คิดเร็ว ทำเร็ว ไปข้างหน้าเร็ว หากมีคนอื่นเข้ามา กังวลว่าจะทำงานร่วมกันไม่ได้ และไม่เกิดความคล่องตัวภายในการบริหารงาน 


จากพนักงาน 2 คนเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 60 คน และนอกจากการเป็น Production House ยังขยายธุรกิจไปสู่การจัดงานอีเวนต์และคอนเสิร์ต รวมไปถึงการทำ Content ที่ออกอากาศทั้งออฟไลน์และออนไลน์ 


เพื่อบริษัทมีการขยายตัว ทั้งในแง่ของจำนวนพนักงานและบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ ทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา เพื่อมีพนักงานเยอะมากขึ้น หากต้องการขยายธุรกิจไปให้หลากหลาย และงานร้องเพลงก็ยังต้องทำอยู่ คุณโอ๊ตจึงคิดว่า การบริหารงาน “คนเดียว” คงไม่ไหว


ปัญหาที่สำคัญที่สุดของบริษัทคือ “การบริหารคน” หากมองในภาพกว้าง แค่การทำให้พนักงานกว่า 60 ชีวิต มองไปในเป้าหมายเดียวกัน ก็เป็นความท้าทายและยากที่สุดที่บริษัทต้องเจอ นอกจากนั้น คำว่า คน ไม่ใช่แค่การบริหารจัดการคน แต่ยังมีเรื่องของสภาพแวดล้อม อุปกรณ์การทำงานต่างๆ ก็ต้องคอยดูแล


ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปี ที่บริหารด้วยผู้บริหารเพียงคนเดียว ทำให้คำตอบเริ่มชัดเจนว่า โคตรคูล ทำมาเพื่ออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ยังตอบไม่ได้ คือ “ความมั่นคง” ของบริษัท เพราะหากในวันนี้ ไม่มีคุณโอ๊ต บริษัทจะไปต่ออย่างไร เป็นคำตอบที่ยังไม่ชัดเจน


[คำถามชวนคิด] หากคุณเป็นคุณโอ๊ต ที่ต้องบริหารบริษัทที่มีพนักงาน 60 ชีวิต เพียงคนเดียว นอกจากนั้นยังต้องทำงานส่วนอื่น ๆ ด้วย คุณจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร?

ด้วยวัย 40 ของคุณโอ๊ต ที่รู้ตัวเองว่า อายุที่มากขึ้น ตามมาด้วยประสิทธิภาพของการทำงานที่น้อยลง จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการตามหาผู้ร่วมลงทุนใหม่ เพื่อขยายบริษัท โดยมีแนวคิดที่ว่า หากจะไปร่วมกับใคร ต้องบวกทั้งสองฝ่าย มีประโยชน์ซึ่งกันและกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน


จึงเป็นที่มาของการได้ร่วมงานกับ เวิร์คพอยต์ โดยแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นให้กับ เวิร์คพอยต์ เป็นจำนวน 49% (มูลค่า 216 ล้านบาท) โดยสาเหตุที่เลือก เวิร์คพอยต์ เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง และมีความแข็งแกร่ง ทั้งระบบหน้าบ้านและหลังบ้าน รวมไปถึง ทั้งสองบริษัท มีจุดเริ่มต้นใกล้เคียงกัน คือเริ่มจากจุดเล็ก ๆ และค่อย ๆ เติบโต


ความเปลี่ยนแปลงหลังจากการได้ร่วมงานกับบริษัทใหญ่ คือ การประชุมกับผู้บริหารบ่อยมากขึ้น ต้องมีการวางแผนร่วมกัน และทำให้หลังบ้าน (Back Office) ของโคตรคูลแข็งแรงขึ้นมาก โดยมี HR ที่ชัดเจน และมีทีมบัญชีเพิ่มขึ้น เนื่องจากเอกสารทุกอย่างต้องจัดการให้ถูกต้องทั้งหมด


รวมไปถึงการจัดองค์กรให้เป็นระบบมากขึ้น ทั้งในเรื่องของลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร สัญญาและข้อกฎหมายต่าง ๆ ก็ได้รับการดูแลและคำปรึกษาจาก เวิร์คพอยต์ ทั้งหมด แต่ไม่มีสิ่งใดจะเหนือไปกว่า เมื่อการได้ร่วมงานกันแล้วต่างฝ่ายต่างเกิดความ “สบายใจ” ซึ่งกันและกัน


สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่าง เวิร์คพอยต์ และ โคตรคูล เรียกว่าการทำ Private Placement หรือ PP คือ การที่บริษัท ออกหุ้นหรือขายหุ้น ให้กับผู้ซื้อรายหนึ่งหรือผู้ซื้อกลุ่มหนึ่ง “โดยเฉพาะ”

“การร่วมทุน เหมือนการแต่งงาน สิ่งสำคัญคือ ความไว้ใจกัน”


เรียบเรียงโดย: THE INSIDER

Source

https://youtu.be/rcaxXLb7UL4?si=M4v0PCeJ_o5_Q0-e
https://www.facebook.com/KhotKoolChannel

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *