จากศูนย์ สู่ 9 พันล้าน 600 สาขาทั่วโลก! ทำได้ยังไง?
OWNDAYS เริ่มต้นในปี 1989 เป็นร้านแว่นตาท้องถิ่นขนาดเล็กในประเทศญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายต้องการเป็นร้านแว่นที่แตกต่างจากร้านทั่วไป โดยให้ลูกค้าสามารถเลือกแว่นได้อย่างอิสระ ภายใต้คุณภาพที่ดีและราคาที่เข้าถึงได้ โดยมีจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เมื่อ “คุณชูจิ ทานากะ” (Shuji Tanaka) เข้ามารับตำแหน่งผู้บริหารในปี 2008 โดยมีเป้าหมายใหญ่ คือ “ขยายออกต่างประเทศ”
ในปี 2013 สามารถขยายออกสู่ต่างประเทศครั้งแรก โดยปักหมุดไปที่ประเทศสิงคโปร์ และมองมาที่ตลาดในประเทศไทย เพราะมองว่าในประเทศไทยมีเพียงแบรนด์ที่เป็นแบรนด์ในท้องถิ่น ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยมีเพียงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อยู่ไม่กี่แห่ง แต่มีข่าวว่าจะมีโครงการใหม่ๆเพิ่มขึ้น จึงมองว่า หากเข้ามาขยายธุรกิจตอนที่โครงการเหล่านั้นเสร็จจะเป็นเรื่องยาก จึงทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อจับจองพื้นที่ให้เร็วที่สุด
เนื่องจาก OWNDAYS เป็นร้านที่มีหน้าร้าน เงินลงทุนจึงมีความจำเป็นมากสำหรับการเปิดสาขาใหม่และจ้างพนักงาน ยิ่งต้องการขยายสาขามากเท่าใด เงินลงทุนก็ยิ่งจำเป็นมากเท่านั้น ซึ่งในกรณีที่ต้องการเติบโตภายในประเทศ การกู้ธนาคารในประเทศก็สามารถช่วยได้ แต่ในกรณีที่ต้องการขยายไปต่างประเทศ การกู้เงินจากธนาคารในประเทศช่วยได้ไม่มาก
โดยส่วนตัวของคุณชูจิ ทานากะ ไม่ต้องการขอเงินลงทุนเพิ่มจากนักลงทุน จึงนำผลกำไรจากสิงคโปร์ ไปลองเปิดสาขาที่ไต้หวัน จากนั้นนำผลกำไรจากไต้หวังทั้งหมด มาเปิดสาขาที่ประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่จำเป็นมากๆของการทำแบบนี้คือ การบริหารสภาพคล่องทางการเงิน
แม้ว่าจะขยายไปต่างประเทศ แต่จะไม่เปลี่ยนแนวทาง สิ่งใดก็ตามที่ทำในญี่ปุ่น จะพยายามทำให้เหมือนกันทั้งหมดทุกสาขา เพราะถ้าต้องปรับเปลี่ยนไปตามประเทศนั้นๆ ก็ไม่ต้องขยายธุรกิจออกไป เพราะในแต่ละประเทศ ก็มีร้านแว่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศอยู่แล้ว
เมื่อคนส่วนมาก มีความใกล้ชิดกับความเป็นญี่ปุ่น และมีทัศนคติที่ดีต่อประเทศญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทย ที่ไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก ทำให้เข้าใจวัฒนธรรมและแบรนด์ของญี่ปุ่น ส่งผลให้การขยายสาขาในประเทศไทยได้รับการยอมรับและผลตอบรับที่ดี
สิ่งที่เป็นจุดแข็งที่สุดของ OWNDAYS คือ “การรวมราคากรอบแว่นพร้อมเลนส์” เป็นราคาเดียว โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพราะแบรนด์ส่วนใหญ่ หลังจากลูกค้าเลือกกรอบแว่นแล้ว ก็ต้องเลือกราคาของเลนส์แต่ละตัว ทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจได้ยาก แต่การจะเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย จึงมั่นใจว่าเรื่องการลอกเลียนแบบทำได้ยาก
แม้ในปัจจุบันจะมีหลายแบรนด์หันมาใช้โมเดลธุรกิจที่เหมือนกัน แต่ OWNDAYS ก็สามารถก้าวนำหน้าไปได้ด้วยการส่งมอบเลนส์ที่มีคุณภาพมากกว่าได้ เมื่อเริ่มก่อน ในขณะที่แบรนด์อื่นยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจได้ เราก็เร่งขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น พร้อมยกระดับคุณภาพให้สูงขึ้น ก็ทำให้บริษัทอื่นๆทำตามได้ยาก
โดยคุณภาพอย่างแรกคือความใส่ใจรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณพ์ การตกแต่งภายในร้าน รวมไปถึงการบริการลูกค้า ไม่ได้ทำเพราะสมควรจะทำ แต่ทำให้เป็นระเบียบและใส่ใจในรายละเอียดอย่างสูง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของความเป็นญี่ปุ่น
อีกหนึ่งจุดแข็งคือการใช้เทคโนโลยี นั่นคือการวัดสายตาระบบทางไกล (Remote Eye Test) โดยภายในญี่ปุ่น สามารถวัดสายตาผ่าน Centrol Center ในโตเกียว โดยในต่างประเทศ เริ่มนำระบบนี้เข้าไปปรับใช้บางส่วนแล้ว รวมไปถึงลูกค้าสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการวัดสายตาด้วยตัวเองได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้น สามารถนำมาให้ AI ประมวลผลพร้อมแนะนำเลนส์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูกค้า
แต่ไม่ว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ล้วนต้องเคยผิดพลาด สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดและไม่ทำแบบเดิมอยู่ซ้ำๆ โดยตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอว่าข้อผิดพลาดนั้นเกิดจากอะไร ซึ่งบทเรียนจากข้อผิดพลาดของตัวเอง มีประโยชน์มากกว่าบทเรียนความสำเร็จของคนอื่น
การเติบโตของตลาดแว่นตาในอนาคต มีแนวโน้มขาขึ้น ในแง่ของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งทำให้ความต้องการแว่นตาเพิ่มมากขึ้นด้วย และเด็กสมัยนี้สายตาแย่ลงอย่างรวดเร็วจากการใช้สมาร์ทโฟน รวมไปถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้การเข้าถึงแว่นตาได้มากขึ้น ดังนั้นก็ควรคว้าโอกาสจากตลาดที่ขยายตัว
ทำให้ปัจจุบัน OWNDAYS ขยายสาขาไปมากกว่า 600 สาขา ใน 12 ประเทศทั่วโลก มีลูกค้ากว่า 4 ล้านคน สร้างยอดขายมากกว่า 9 พันล้านบาท โดยในประเทศไทยสามารถขยายสาขาไปกว่า 50 สาขา และสามารถก้าวขึ้นสู่ Top 3 ในประเทศไทยได้
สุดท้าย เป้าหมายในอนาคตของ OWNDAYS ต้องการขยายสาขาไปทั่วโลกและได้รับการจดจำ เช่นเดียวกับ Starbucks, Apple และ McDonald’s พนักงานทุกคนทำงานอย่างมีความสุข บริษัทเติบโตโดยเป็นที่รักของทุกคน ให้ทุกคนสามารถเรียกชื่อแบรนด์แทนการเรียกสินค้า และสุดท้ายต้องการให้ OWNDAYS ยังคงอยู่ตลอดไป
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
