บอร์ดบริษัทคืออะไร? ทำไมจำเป็นกับบริษัท

ในการสร้างบริษัท ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ทอัพเล็ก ๆ หรือองค์กรที่เตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ หนึ่งในกลไกสำคัญที่มักถูกมองข้าม คือ “คณะกรรมการบริษัท” หรือที่เรียกกันว่า “บอร์ดบริษัท” ที่หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่กลุ่มคนที่นั่งประชุม ตรวจสอบงบประมาณ หรือมีไว้เพื่อให้ครบตามโครงสร้างองค์กรเท่านั้น แต่สิ่งที่คุณทาโร่-ธนวัฒน์ เลิศวัฒนรักษ์ เล่าไว้ใน XL-Class ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ X-Club หรือ Executive Clubhouse ว่าความจริงแล้ว หน้าที่ของบอร์ดนั่นลึกซึ้งและทรงอิทธิพลต่อการ “สร้างบริษัทให้ยั่งยืน” มากกว่าที่ใครหลายคนคิด และยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ สามารถสรุปได้ดังนี้
- บอร์ด (Board) หรือ “คณะกรรมการบริษัท” เปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ถือหุ้นรายย่อย ทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้ CEO และ คณะกรรมการบริหาร บริหารบริษัทตามอำเภอใจ
- บอร์ดจะถูกมองว่า เป็น “ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด” ในบริษัท แต่ความเป็นจริง ไม่ได้มีอำนาจการตัดสินใจเหนือกว่า CEO หรือ MD (Managing Director)
- เมื่อต้องโหวตในที่ประชุม ไม่มีทางที่บอร์ดจะโหวตชนะผู้บริหาร แต่บอร์ดก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เมื่อไม่เห็นด้วยก็ควรจะให้ความคิดเห็น ไม่ใช่การคล้อยตามคนอื่นในทีม
- IOD (Institute of Directors) หรือ “สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย” ให้นิยามหน้าที่ของ บอร์ด คือ มีหน้าที่ในการเตือนและเป็นสติให้กับคณะกรรมการบริหาร โดยเฉพาะ CEO ที่มักบริหารโดยใช้ opportunity based เป็นหลัก ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงในบางครั้ง
- ในบริบทของบริษัท หาก CEO และ คณะกรรมการบริหาร ถูกเปรียบให้เป็น “สมอง” บอร์ดก็เปรียบเสมือน “สติ” ซึ่งหากบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะทำงานง่ายกว่า เพราะว่าบริษัทจะมีธรรมาภิบาลเป็นของตัวเอง
- ก่อนที่บริษัทจะ IPO (Initial Public Offering) หรือ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะต้องผ่าน step ที่เรียกว่า “Built to last” ซึ่งเป็นการสร้างบริษัทให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งจะต้องผ่าน cycle ที่ว่า “ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน” หรือ ผ่านความไม่แน่นอนทั้งเรื่องร้ายและดี
- ก่อนที่บริษัทจะไปถึง built to last step จะต้องผ่านการทำอีกหนึ่ง step คือ “Built to sell” หรือการทำให้บริษัทของเราพร้อมขายอยู่ตลอดเวลา หมายความว่า เราต้องรู้มูลค่าของบริษัทเราอยู่ตลอด
- บริษัทที่เป็น Startup ส่วนใหญ่ ไม่เคยทำ built to last step เมื่อต้องการเติบโตด้วยการขายบริษัท มักจะเอาตัวเลขในอนาคตมาเป็นตัวเลขของปัจจุบัน แต่หลักการที่นักลงทุนจะดู คือ “ถอยหลัง 3 ปี” และ “เดินหน้า 3 ปี” เพื่อให้เห็นแนวโน้มตัวเลขที่แท้จริง
- ระยะเวลา 3 ปีแรก เป็นช่วงเวลาที่เจ้าของ แทบจะไม่มีกิน เพราะคนไม่รู้จัก การตลาดไม่ได้ดีมาก คนทั่วไปจำแบรนด์ไม่ได้ แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ ในช่วง 3-7 ปี บริษัทก็จะค่อยๆเติบโต ซึ่งเมื่อครบ 7 ปี ก็ถือว่าสิ้นสุด S-Curve พอดี
- ในการสร้างบริษัทให้เป็นอมตะ หรือบริษัทที่ยั่งยืน เราต้องรู้ว่า “passion” ของเราในการสร้างบริษัทคืออะไร “Vision และ Mission” ของบริษัทเป็นยังไง
- “Vision” คือ สิ่งที่เราอยากเป็น และ “Mission” คือ สิ่งที่เราอยากทำ โดยมี Goal เป็นสิ่งที่เราอยากได้ ซึ่งบริษัทที่จะเป็นบริษัทอมตะ ต้องมี Vision และ Mission ทั้งระยะสั้น (1 ปี) ระยะกลาง (3 ปี) และระยะยาว (6 ปี) แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม เวลาสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
- เมื่อเราทำให้บริษัทของเรา “พร้อมขายอยู่ตลอดเวลา” ความหมายว่า เรารู้ว่าบริษัทมีรายได้ กำไร รวมไปถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทเป็นเท่าใด การที่จะเติบโตไปจนเข้า IPO จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
- ต่อให้เราไม่ได้เลือกหนทางที่จะ IPO แต่เมื่อบริษัทต้องเติบโต การจะระดมทุนหรือขายบริษัท เราก็ต้องทำให้บริษัทดูดีและมีอนาคต ไม่ใช่ทำแค่ว่า “บริษัทมีมูลค่าสูงแล้วน่าสนใจ” เพราะสุดท้าย นักลงทุนไม่ได้มองว่าซื้อถูกหรือแพง แต่นักลงทุนจะมองว่าบริษัท “ดูดีและมีอนาคต” แค่ไหน
- ในอีกมุมหนึ่ง ก็จะมีเจ้าของบริษัทและนักลงทุนที่ “บ้าบอ” ทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างจากกรณีที่เกิดขึ้นจริงคือ บริษัทแห่งหนึ่ง เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับนวัตกรรมและกวาดรางวัลมามากมาย แต่เบื้องหลังคือไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าออฟฟิศและติดหนี้ธนาคารอยู่ 18 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของบริษัทก็ “บ้าบอ” กล้าตีมูลค่าบริษัทของตัวเองมีมูลค่าหลักร้อยล้าน และมากกว่านั้นคือ มีนักลงทุนที่ “บ้าบอ” ตีมูลค่าให้กับบริษัทนี้ มีมูลค่า 70 ล้าน และยอมลงทุน 20 ล้านกับบริษัทนี้ ซึ่ง 10 ปีผ่านไป บริษัทนี้มีเงินเก็บ 20 ล้าน มีรายได้ 100 ล้านบาทและกำไร 10 ล้านบาท โดยทำแค่เพียงการเปลี่ยนกระบวนการหลังบ้านเท่านั้น ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใด ๆ เลย
- หากบริษัทของเรามีมูลค่า 10 ล้านบาท แต่ต้องการขาย 100 ล้านบาท สิ่งที่เราต้องทำคือ
- ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้น
- ทำให้อัตราส่วน P/E (Price-Earnings Ratio) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าเราสามารถทำให้นักลงทุนเชื่อว่าบริษัทของเรากำลังเติบโต เราจะได้ P/E ที่แพงมากขึ้น
- เมื่อเราได้เงินลงทุนจากนักลงทุน เราไม่จำเป็นจะต้องทำตามสิ่งที่เขาต้องการทุกอย่างเสมอไป ถ้าเรารู้ตัวเองว่าเราขับรถยังไม่แข็ง เราก็ไม่ควรจะขึ้นไปขับรถหรูแพงๆ เพราะนักลงทุนบางคนต้องการให้เรา “ทำกำไรให้ได้มากที่สุด” โดยไม่สนใจอะไรเลย
- เจ้าของบริษัทได้โบนัส เซลล์ได้ค่าคอมมิชชั่น “นักลงทุนไม่ได้อะไรเลย” จนกว่าบริษัทจะมีกำไร ดังนั้น นักลงทุนก็จะมองหาบริษัทที่จะสามารถเข้าตลาดได้ เพื่อให้ได้เงินที่ลงทุนกลับคืนมา
- นักลงทุน เมื่อลงทุนไปแล้ว หนทางที่จะได้เงินคืนกลับมา คือ
- ได้เงินปันผลจากกำไร (Dividend)
- ขายหุ้นจาก capital gain หลังจากบริษัทเข้าตลาด
- สุดท้ายสิ่งที่คุณทาโร่ อยากแนะนำคนรุ่นหลังคือ ตอนช่วงอายุ 30 ปี อย่า “บ้าบอ” ให้มาก ต้องฟังเสียงเตือนจากผู้ใหญ่บ้าง และพยายามมีสมาธิกับสิ่งที่ทำ
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โอกาสอาจมาเร็ว แต่ก็จากไปเร็วยิ่งกว่า ดังนั้น “สติ” จึงกลายเป็นทรัพยากรสำคัญไม่ต่างจากเงินทุนและไอเดีย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมบอร์ดจึงไม่ใช่เพียงกลไกควบคุม แต่เป็นเหมือน “สติ” ขององค์กร ที่ช่วยยั้งคิด ทบทวน และคอยเตือนให้เจ้าของหรือผู้บริหารไม่หลงทางไปกับความฝันที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง การสร้างบริษัทให้ยั่งยืน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการรู้ว่า “เราสร้างบริษัทนี้ขึ้นมาทำไม” และ “พร้อมจะเติบโตไปยังไงต่อ”
แล้วคุณหล่ะ ถ้าคุณมีบอร์ด อยากมีบอร์ดที่พูดตาม หรือ บอร์ดที่คอยเตือนคุณไว้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป?
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– XCLUB (Executive Clubhouse)