บอร์ดบริษัทคืออะไร? ทำไมจำเป็นกับบริษัท

0
คณะกรรมการบริษัท สร้างบริษัทให้ยั่งยืน เตรียมบริษัทเข้า IPO บทบาทของบอร์ด สติในองค์กรธุรกิจ Company board builds sustainability Role of board in business Ready for IPO journey Board guides business growth Corporate governance and vision

ในการสร้างบริษัท ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ทอัพเล็ก ๆ หรือองค์กรที่เตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ หนึ่งในกลไกสำคัญที่มักถูกมองข้าม คือ “คณะกรรมการบริษัท” หรือที่เรียกกันว่า “บอร์ดบริษัท” ที่หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่กลุ่มคนที่นั่งประชุม ตรวจสอบงบประมาณ หรือมีไว้เพื่อให้ครบตามโครงสร้างองค์กรเท่านั้น แต่สิ่งที่คุณทาโร่-ธนวัฒน์ เลิศวัฒนรักษ์ เล่าไว้ใน XL-Class ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ X-Club หรือ Executive Clubhouse ว่าความจริงแล้ว หน้าที่ของบอร์ดนั่นลึกซึ้งและทรงอิทธิพลต่อการ “สร้างบริษัทให้ยั่งยืน” มากกว่าที่ใครหลายคนคิด และยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ สามารถสรุปได้ดังนี้

  1. บอร์ด (Board) หรือ “คณะกรรมการบริษัท” เปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ถือหุ้นรายย่อย ทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้ CEO และ คณะกรรมการบริหาร บริหารบริษัทตามอำเภอใจ
  2. บอร์ดจะถูกมองว่า เป็น “ผู้ที่มีอำนาจสูงสุด” ในบริษัท แต่ความเป็นจริง ไม่ได้มีอำนาจการตัดสินใจเหนือกว่า CEO หรือ MD (Managing Director)
  3. เมื่อต้องโหวตในที่ประชุม ไม่มีทางที่บอร์ดจะโหวตชนะผู้บริหาร แต่บอร์ดก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เมื่อไม่เห็นด้วยก็ควรจะให้ความคิดเห็น ไม่ใช่การคล้อยตามคนอื่นในทีม
  4. IOD (Institute of Directors) หรือ “สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย” ให้นิยามหน้าที่ของ บอร์ด คือ มีหน้าที่ในการเตือนและเป็นสติให้กับคณะกรรมการบริหาร โดยเฉพาะ CEO ที่มักบริหารโดยใช้ opportunity based เป็นหลัก ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงในบางครั้ง
  5. ในบริบทของบริษัท หาก CEO และ คณะกรรมการบริหาร ถูกเปรียบให้เป็น “สมอง” บอร์ดก็เปรียบเสมือน “สติ” ซึ่งหากบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะทำงานง่ายกว่า เพราะว่าบริษัทจะมีธรรมาภิบาลเป็นของตัวเอง
  6. ก่อนที่บริษัทจะ IPO (Initial Public Offering) หรือ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะต้องผ่าน step ที่เรียกว่า “Built to last” ซึ่งเป็นการสร้างบริษัทให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งจะต้องผ่าน cycle ที่ว่า “ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน” หรือ ผ่านความไม่แน่นอนทั้งเรื่องร้ายและดี
  7. ก่อนที่บริษัทจะไปถึง built to last step จะต้องผ่านการทำอีกหนึ่ง step คือ “Built to sell” หรือการทำให้บริษัทของเราพร้อมขายอยู่ตลอดเวลา หมายความว่า เราต้องรู้มูลค่าของบริษัทเราอยู่ตลอด
  8. บริษัทที่เป็น Startup ส่วนใหญ่ ไม่เคยทำ built to last step เมื่อต้องการเติบโตด้วยการขายบริษัท มักจะเอาตัวเลขในอนาคตมาเป็นตัวเลขของปัจจุบัน แต่หลักการที่นักลงทุนจะดู คือ “ถอยหลัง 3 ปี” และ “เดินหน้า 3 ปี” เพื่อให้เห็นแนวโน้มตัวเลขที่แท้จริง
  9. ระยะเวลา 3 ปีแรก เป็นช่วงเวลาที่เจ้าของ แทบจะไม่มีกิน เพราะคนไม่รู้จัก การตลาดไม่ได้ดีมาก คนทั่วไปจำแบรนด์ไม่ได้ แต่ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ ในช่วง 3-7 ปี บริษัทก็จะค่อยๆเติบโต ซึ่งเมื่อครบ 7 ปี ก็ถือว่าสิ้นสุด S-Curve พอดี
  10. ในการสร้างบริษัทให้เป็นอมตะ หรือบริษัทที่ยั่งยืน เราต้องรู้ว่า “passion” ของเราในการสร้างบริษัทคืออะไร “Vision และ Mission” ของบริษัทเป็นยังไง
  11. “Vision” คือ สิ่งที่เราอยากเป็น และ “Mission” คือ สิ่งที่เราอยากทำ โดยมี Goal เป็นสิ่งที่เราอยากได้ ซึ่งบริษัทที่จะเป็นบริษัทอมตะ ต้องมี Vision และ Mission ทั้งระยะสั้น (1 ปี) ระยะกลาง (3 ปี) และระยะยาว (6 ปี) แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม เวลาสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
  12. เมื่อเราทำให้บริษัทของเรา “พร้อมขายอยู่ตลอดเวลา” ความหมายว่า เรารู้ว่าบริษัทมีรายได้ กำไร รวมไปถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทเป็นเท่าใด การที่จะเติบโตไปจนเข้า IPO จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
  13. ต่อให้เราไม่ได้เลือกหนทางที่จะ IPO แต่เมื่อบริษัทต้องเติบโต การจะระดมทุนหรือขายบริษัท เราก็ต้องทำให้บริษัทดูดีและมีอนาคต ไม่ใช่ทำแค่ว่า “บริษัทมีมูลค่าสูงแล้วน่าสนใจ” เพราะสุดท้าย นักลงทุนไม่ได้มองว่าซื้อถูกหรือแพง แต่นักลงทุนจะมองว่าบริษัท “ดูดีและมีอนาคต” แค่ไหน
  14. ในอีกมุมหนึ่ง ก็จะมีเจ้าของบริษัทและนักลงทุนที่ “บ้าบอ” ทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างจากกรณีที่เกิดขึ้นจริงคือ บริษัทแห่งหนึ่ง เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับนวัตกรรมและกวาดรางวัลมามากมาย แต่เบื้องหลังคือไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าออฟฟิศและติดหนี้ธนาคารอยู่ 18 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของบริษัทก็ “บ้าบอ” กล้าตีมูลค่าบริษัทของตัวเองมีมูลค่าหลักร้อยล้าน และมากกว่านั้นคือ มีนักลงทุนที่ “บ้าบอ” ตีมูลค่าให้กับบริษัทนี้ มีมูลค่า 70 ล้าน และยอมลงทุน 20 ล้านกับบริษัทนี้ ซึ่ง 10 ปีผ่านไป บริษัทนี้มีเงินเก็บ 20 ล้าน มีรายได้ 100 ล้านบาทและกำไร 10 ล้านบาท โดยทำแค่เพียงการเปลี่ยนกระบวนการหลังบ้านเท่านั้น ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใด ๆ เลย
  15. หากบริษัทของเรามีมูลค่า 10 ล้านบาท แต่ต้องการขาย 100 ล้านบาท สิ่งที่เราต้องทำคือ
  • ทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มมากขึ้น
  • ทำให้อัตราส่วน P/E (Price-Earnings Ratio) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าเราสามารถทำให้นักลงทุนเชื่อว่าบริษัทของเรากำลังเติบโต เราจะได้ P/E ที่แพงมากขึ้น
  1. เมื่อเราได้เงินลงทุนจากนักลงทุน เราไม่จำเป็นจะต้องทำตามสิ่งที่เขาต้องการทุกอย่างเสมอไป ถ้าเรารู้ตัวเองว่าเราขับรถยังไม่แข็ง เราก็ไม่ควรจะขึ้นไปขับรถหรูแพงๆ เพราะนักลงทุนบางคนต้องการให้เรา “ทำกำไรให้ได้มากที่สุด” โดยไม่สนใจอะไรเลย
  2. เจ้าของบริษัทได้โบนัส เซลล์ได้ค่าคอมมิชชั่น “นักลงทุนไม่ได้อะไรเลย” จนกว่าบริษัทจะมีกำไร ดังนั้น นักลงทุนก็จะมองหาบริษัทที่จะสามารถเข้าตลาดได้ เพื่อให้ได้เงินที่ลงทุนกลับคืนมา
  3. นักลงทุน เมื่อลงทุนไปแล้ว หนทางที่จะได้เงินคืนกลับมา คือ
  • ได้เงินปันผลจากกำไร (Dividend)
  • ขายหุ้นจาก capital gain หลังจากบริษัทเข้าตลาด
  1. สุดท้ายสิ่งที่คุณทาโร่ อยากแนะนำคนรุ่นหลังคือ ตอนช่วงอายุ 30 ปี อย่า “บ้าบอ” ให้มาก ต้องฟังเสียงเตือนจากผู้ใหญ่บ้าง และพยายามมีสมาธิกับสิ่งที่ทำ

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โอกาสอาจมาเร็ว แต่ก็จากไปเร็วยิ่งกว่า ดังนั้น “สติ” จึงกลายเป็นทรัพยากรสำคัญไม่ต่างจากเงินทุนและไอเดีย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมบอร์ดจึงไม่ใช่เพียงกลไกควบคุม แต่เป็นเหมือน “สติ” ขององค์กร ที่ช่วยยั้งคิด ทบทวน และคอยเตือนให้เจ้าของหรือผู้บริหารไม่หลงทางไปกับความฝันที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง การสร้างบริษัทให้ยั่งยืน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการรู้ว่า “เราสร้างบริษัทนี้ขึ้นมาทำไม” และ “พร้อมจะเติบโตไปยังไงต่อ”

แล้วคุณหล่ะ ถ้าคุณมีบอร์ด อยากมีบอร์ดที่พูดตาม หรือ บอร์ดที่คอยเตือนคุณไว้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป?

เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– XCLUB (Executive Clubhouse)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *