แนวโน้มตลาดอสังหาฯ 2025: โอกาสในความท้าทาย
หากกล่าวถึงอสังหาริมทรัพย์ คำคำนี้อาจจะเป็นตัวแทนได้หลาย ๆ อย่าง แต่สุดท้ายคงหนีไม่พ้นของการเป็นตัวแทนของคำว่า ที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดก็ตาม โดยในปัจจุบัน สินค้ากลุ่มนี้ มีลูกค้าหลักๆ อยู่ประมาณ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ซื้อบ้านหลังแรก, กลุ่มที่ซื้อเพื่อการลงทุน และกลุ่มที่ซื้อบ้านหลังที่ 2
ซึ่งกลุ่มที่มีความต้องการซื้อมากที่สุด คือ กลุ่มที่ต้องการซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นทรัพย์สินชิ้นแรก แม้ว่าจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่พอสมควร แต่ด้วยปัจจัยบางประการทำให้ ในมุมมองของผู้ขาย ขายบ้านได้น้อยลง เช่น การเข้าถึงสินเชื่อสถาบันการเงิน รวมไปถึงแนวคิดของคนรุ่นใหม่ ที่ยังไม่มีงานที่ถาวร จึงตัดสินใจที่จะเช่าแทนการซื้อ
จากสถิติพบว่า 55% ของคนที่อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยได้ไม่เกิน 3 ล้านบาท นอกจากนี้ คนกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่มีหนี้ครัวเรือนที่สูง และก่อหนี้เสียให้กับสถาบันการเงินเป็นมูลค่ามหาศาล จึงเป็นที่มาของความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ในปีที่ผ่านมา
[คำถามชวนคิด] หากคุณเป็นผู้บริหารของบริษัท คุณจะวางแผนรับมือกับผลกระทบการหดตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างไร?
หากมองในภาพกว้าง คำว่าที่อยู่อาศัย ก็มีได้หลายรูปแบบตั้งแต่คอนโด ทาวน์โฮม บ้านแฝด ไปจนถึงบ้านเดี่ยว หรือหากมองในแง่ของราคา ก็มีตั้งแต่ราคาหลักล้านต้น ๆ ไปจนถึงหลักสิบ หรือร้อยล้าน ซึ่งหากมองกลับไปที่ปัญหา กลุ่มที่เป็นปัญหาคือ กลุ่มที่มีกำลังซื้อ 1-3 ล้าน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่
หนึ่งในหนทางที่จะสามารถสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น การย้ายไปแข่งขันในตลาดอื่น เช่น ย้ายตัวเองจากตลาดบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้าน ไปสู้ในตลาดที่ราคาสูงขึ้น ความต้องการอาจจะไม่ได้มาก แต่หากขายได้ ก็อาจจะทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น
แต่ก็ต้องยอมรับว่า บริษัทใหญ่ๆ คงใช้วิธีการนั้นได้ยาก เพราะลองจินตนาการถึงยักษ์ตัวใหญ่ๆ การจะขยับตัวแต่ละครั้ง คงต้องใช้พลังและทรัพยากรที่มากพอสมควร อาจจะไม่คุ้มค่า ซึ่งบริษัทใหญ่ๆ ก็มีสินค้าที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม อาจจะให้การเปลี่ยนโฟกัสหรือเปลี่ยนแนวทางการทำการตลาด อาจช่วยได้ แต่แนวทางในการแก้ไขปัญหาไม่ได้มีอยู่เพียงหนทางเดียว
จากสถิติการกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน ในปีที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อไม่เกิน 3 ล้านบาท จะถูกสถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อ 70% นั่นหมายความว่า ลูกค้า 10 คน จะถูกปฏิเสธไปแล้ว 7 คน เหลือเพียง 3 คน แต่ 7 คนที่ถูกปฏิเสธ ไม่ใช่การปฏิเสธจากบริษัทอสังหาฯ นั่นหมายความว่า 7 คนนั้น ก็ยังสนใจในตัวสินค้า
จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะช่วยให้ได้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น จากลูกค้าอีก 7 คน ที่สนใจในสินค้า แต่ไม่ได้รับโอกาสจากสถาบันการเงิน บริษัทอสังหาฯ จึงต้องหาแนวทางหรือวิธีการอื่น เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มนี้ ได้บ้านที่ตัวเองสนใจ เช่น ในบ้านหลังเดิมที่ลูกค้าสนใจ ก็ให้ลูกค้าเช่ากับบริษัทโดยตรง อาจจะมีดอกเบี้ย แต่น้อยกว่าสถาบันการเงิน แล้วนำเงินค่าเช่าไปหักออกจากเงินต้นค่าบ้าน ภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ที่บริษัทกำหนด
หรือหากมองไปที่ความต้องการอีกกลุ่มหนึ่งที่กล่าวมาข้างต้น คือ ต้องการเช่ามากกว่าซื้อ จุดนี้อาจจะเป็นทางออกอีกหนึ่งทางที่จะช่วยให้สร้างรายได้ในช่วงที่ตลาดอสังหาฯหดตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ต้องการเช่าคอนโด
หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจ คือการเปลี่ยนจากค่าเช่า เป็น การสมัครสมาชิก เช่น สมาชิกกลุ่มคอนโดนี้ ในวันนี้ลูกค้าเช่าในโครงการนี้ แต่หากในอนาคตลูกค้าต้องย้ายงาน แล้วมีโครงการกลุ่มเดียวกัน อยู่ใกล้ที่ทำงานใหม่ ลูกค้าก็สามารถขอย้ายคอนโดไปที่นั่นได้เลย
ในปี 2025 สำหรับตลาดอสังหาฯ ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น ส่วนหนึ่งก็มาจากสภาพเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจดีขึ้น ลูกค้ามีรายได้มากขึ้น ก็มีโอกาสในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น
แต่การจะนั่งรออยู่เฉยๆ แล้วให้เศรษฐกิจดีขึ้น คงไม่ใช่หนทางที่ดี ดังนั้นบริษัทอสังหาฯ ก็ต้องปรับตัว เพราะคำว่า อสังหาฯ แท้จริงแล้วไม่ได้มีแค่เฉพาะที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว อาจจะต้องมองไปยังตลาดใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม คลังสินค้า อาคารสำนักงาน รวมไปถึงอะพาร์ตเมนต์
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเพียงแนวทาง แต่ในท้ายที่สุด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แต่ละบริษัท ล้วนมีแนวทางในการแข่งขันและเอาตัวรอดจากปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งพิสูจน์ได้จาก ในปีที่ผ่านมา แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะหดตัวหรือซบเซา ก็ยังมีบางบริษัทที่มีรายได้และเติบโตสวนกระแสของตลาด
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
