รายได้ของ Youtuber / TikToker ไม่ได้มาจากแค่ค่าโฆษณาอีกต่อไป

ในงาน IMPACT Next: Online to On-site Evolution ที่จัดโดย มีหัวข้อที่น่าสนใจคือ Adaptation of Media Business in a Changing Media Landscape & Opportunities for event in the media business: A Case Study of Thailand Coffee Fest & Martech Expo โดย คุณช้างน้อย-กุญชร ณ อยุธยา (The Cloud) และ คุณเดียร์-ธนโชติ วิสุทธิสมาน (LIKEME)
คุณช้างน้อย จาก The Cloud คือผู้จัดงาน Thailand Coffee Fest และ Thailand Rice Fest และคุณเดียร์ คือผู้จัดงาน 4 อีเว้นท์ใหญ่ต่อปี คือ Martech Expo, Future Trends Ahead, Future Trends Award และ Work Life Festival ซึ่งบทเรียนที่ได้จากทั้ง 2 ท่าน THE INSIDER สรุปให้
[Landscape Media]
หากย้อนกลับไปในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ธุรกิจสื่อ หรือ Media ในยุคนั้น มีเพียงแค่ โทรทัศน์ วิทยุ และแมกกาซีน ซึ่งรายได้ที่จะเข้ามาส่วนใหญ่ ก็ได้มาจากสปอตโฆษณา สิ่งต่างๆก็สามารถทำได้ง่าย คู่แข่งน้อย และต่อมา ก็เริ่มมีการเข้ามาของออนไลน์มากขึ้น และมีสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นขึ้น ก็มีจำนวนคู่แข่งมากขึ้น
ถึงแม้จะเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของธุรกิจ แต่ในอดีตกับปัจจุบันมีความแตกต่างกันในเรื่องระยะเวลา ในอดีตอาจจะใช้เวลา 2-3 ปีถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ในปัจจุบัน ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็มีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดได้
[จาก Media สู่ Event]
คุณเดียร์ เล่าว่า การทำธุรกิจสื่อ ขายสปอนเซอร์หรือโฆษณา สามารถทำเงินได้ง่ายและเร็ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันมีสื่ออยู่หลากหลาย ซึ่งลูกค้าก็มีตัวเลือกมากขึ้น รวมไปถึงความเร็วของการเปลี่ยนแปลง ที่ต้องปรับตัวและไล่ตามอยู่เสมอในฐานะสื่อ แต่คุณเดียร์มองว่า หากเราเป็นสื่อ แต่มีผลิตภัณฑ์ (Product) เป็นของตัวเอง ก็ถือเป็นการสร้าง new business model จึงคิดว่า การมีอีเว้นท์เป็นของตัวเอง ก็เหมือนมีผลิตภัณฑ์อีกหนึ่งอย่าง ซึ่งหากทำได้ดี ก็สามารถต่อยอดได้เรื่อยๆ
ในมุมมองของคุณช้างน้อย มองการจัดงานอีเว้นท์ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่อง (Storytelling) สำหรับคุณช้างน้อยมองว่า การเล่าเรื่อง มีได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบทความ พอดแคส วิดีโอ และหนึ่งในนั้นก็คือการจัดงานอีเว้นท์ แต่ทุกอย่างต้องมีวัตถุประสงค์ (Purpose) ที่ชัดเจน ซึ่งสำหรับคุณช้างน้อย ที่ต้องการจัดงานอีเว้นท์ ก็เพื่อทำให้ “ชีวิตคนไทยดีขึ้น” เช่นงาน “Thailand Coffee Fest”
Thailand Coffee Fest เป็นงานที่ The Cloud ร่วมกับสมาคมกาแฟพิเศษไทยจัดขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับกาแฟของไทย ซึ่งเลือกเป็นกาแฟ เพราะมองว่า กาแฟปลูกในป่า ถ้ากาแฟดี ป่าก็จะดี ป่าที่ดีก็จะผลิตน้ำที่ดีให้กับคนปลายน้ำ และหากมูลค่ากาแฟสูงขึ้น ชีวิตของคนต้นน้ำถึงปลายน้ำก็จะดีขึ้นทั้งหมด ซึ่งเรื่องราวของกาแฟมันสวยงาม ถ้าหากมีงานอีเว้นท์แล้วทำให้มูลค่ากาแฟดีขึ้นได้ ชุมชน เกษตรกร ร้านกาแฟตามต่างจังหวัด ก็น่าได้รับผลประโยชน์มากขึ้น
[ข้อได้เปรียบในการแข่งขันในฐานะธุรกิจสื่อ]
คุณเดียร์เล่าว่า การเป็นสื่อ ข้อได้เปรียบคือ การทำการตลาด รวมไปถึงการขายสปอนเซอร์ ในการจัดงานอีเว้นท์ที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก การเป็นสื่อทำให้ขายสปอนเซอร์ได้ง่ายกว่า รวมไปถึงการทำ Bundle ได้
ในมุมมองของคุณช้างน้อย บอกว่านอกจากมีข้อดี ก็มีข้อเสียเช่นกัน หากมองในสื่อระดับเดียวกัน หรือสื่อที่ใหญ่ ค่อนข้างยากที่จะขอความช่วยเหลือในการโปรโมทงาน เพราะมองว่าเป็นคู่แข่งกัน แต่หากเรา ในฐานะคนตัวเล็กๆ หรือเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ อยากสร้างข้อได้เปรียบ เราก็ต้องจับมือทำ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ แล้วเราจะค่อยๆเติบโตไปด้วยกัน
และเล่าเสริมว่า ในฐานะสื่อ เราย่อมมีฐานแฟนคลับ ซึ่งไม่ว่าโลกจะก้าวไปไกลแค่ไหนหรืออนไลน์มากเท่าไหร่ สุดท้ายแล้ว มนุษย์ก็ยังต้องการสังคม ต้องการการโต้ตอบกัน ซึ่งการเป็นสื่อแล้วจัดงานอีเว้นท์ให้คนหรือแฟนคลับไปมาเจอกันและมาเจอเรา สามารถสร้างมิตรภาพและความสุขร่วมกันได้ นี่คือสิ่งที่เงินก็ซื้อไม่ได้
[สิ่งที่ควรรู้ เมื่อธุรกิจสื่อจะมาจัดอีเว้นท์]
ความยากของการจัดงานอีเว้นท์คือ “ความเป็นไปได้” (Feasibility) เพราะฉนั้น หากต้องการจัดงาน ก็ต้อง Research ข้อมูลให้มากและละเอียดที่สุด ทำการบ้านให้เยอะ หา Worst Case Scenario ให้เจอ
และความท้าทายใหญ่สุดของการจัดงานอีเว้นท์คือ “รายจ่าย” ที่ค่อนข้างมาก สิ่งที่จะตามมาคือโอกาสในการขาดทุน ดังนั้นการมี Title Sponsor รายแรก ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะเข้ามาช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้ก้าวไปต่อ และสิ่งสำคัญคือการมี Partner ที่เชื่อมั่นในแนวคิดของเรา
[บทเรียนจากความยั่งยืน จากการจัดอีเว้นท์มากกว่า 10 ปี]
คุณช้างน้อย เล่าว่า แม้จะจัดงานอีเว้นท์มากกกว่า 10 ปี ไม่มีปีไหนที่ไม่ต้องปรับตัว แต่การจัดงานอีเว้นท์ความเสี่ยงสูงก็ตามมาด้วยผลตอบแทนที่สูง (high risk high return) ซึ่งไม่ได้วันกันที่ปีแรก แต่วัดกันที่ปีต่อๆไป เพราะว่า ในปีแรกของการจัดงานอีกเว้นท์ ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จ ทุกคนพร้อมจะเอาใจและเอาเงินมาช่วย
แต่ในปีต่อไป นี่คือของจริง เพราะถ้าคนที่เอาเงินมาลงทุนกับเรา เขาไม่ได้อะไรกลับไป เขาก็จะไม่กลับมาอีก ดังนั้นเราก็ต้องให้ความสำคัญของคนที่ลงทุนกับเรา หากเราสามารถให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกับเขาได้ เขาก็พร้อมจะสนับสนุนเราต่อ ก็ทำให้งานอีเว้นท์ของเราติดลมบนได้
ซึ่งสิ่งที่ต้องมีสำหรับคนที่จะจัดอีเว้นท์ คือ เป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มองหา Supply Chain ที่จะได้รับประโยชน์จากการจัดงาน ยกตัวเอย่างเช่น Thailand Coffee Fest ในงานไม่ได้มีเฉพาะคนที่จ่ายเงินมางาน แต่ Supply Chain ของกาแฟ มีตั้งแต่ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ คนเก็บเกี่ยว คนรับซื้อเมล็ดกาแฟ คนคั่วกาแฟ บาริสต้า นักออกแบบร้านกาแฟ นักชิมกาแฟ มาจนถึงลูกค้า สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกันหมด ทำให้สามารถจัดงานมายาวนานจนปีนี้เป็นปีที่ 10 และยังสามารถขยายไปสู่งาน Thailand Rice Fest ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวของไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อเกษตรกรไทยกว่า 5 ล้านครัวเรือน
สุดท้ายโลกของเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นทักษะที่สำคัญในยุคนี้คือ “การปรับตัว” เมื่อมองเห็นโอกาสในจังหวะขาขึ้น เราก็ต้องใช้โอกาสในการทำรายได้ แต่เมื่อเป็นขาลง เราก็ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลง เปรียบเสมือนคลื่น ที่ค่อยๆมา แต่มาเรื่อยๆ เราก็ต้องจับคลื่นลูกที่เหมาะกับเราให้ถูก และเกาะคลื่นลูกนั้นให้ได้ แต่ถ้าเรายังไม่เจอ เพื่อนที่ดีจะช่วยเราในการหาคลื่นและสอนให้เราเกาะคลื่นนั้น ดั่งเช่น อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ ที่พร้อมจะช่วยเหลือคนตัวเล็กที่ฝันใหญ่ อยากเข้ามาในตลาดอีเว้นท์ จัดงานอีเว้นท์เป็นของตัวเอง
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER