ผู้นำ GULF จากพลังงานสู่ดิจิทัลและการเงิน

หากพูดถึง “พลังงาน” หลายคนอาจนึกถึงไฟฟ้า น้ำมัน หรือถ่านหิน แต่สำหรับบริษัท “พลังงาน” คือ “วิสัยทัศน์” ของผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเดิม เพื่อวางรากฐานใหม่ให้อนาคตมั่นคงขึ้นอย่างยั่งยืน และหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจในประเทศไทย คงหนีไม่พ้น “บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)” หรือ GULF ที่ภายใต้การนำของคุณกลาง-สารัชถ์ รัตนาวะดี ได้ก้าวข้ามข้อจำกัดของธุรกิจพลังงาน และเชื่อมต่อไปสู่โลจิสติกส์ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมการเงิน
จากจุดเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2537 ในวัยเพียง 29 ปี คุณสารัชถ์ก่อตั้งบริษัทกัลฟ์ อิเล็คตริก จำกัด และได้วางรากฐานธุรกิจจาก “โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก” สู่กลุ่มธุรกิจที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่ง GULF ไม่ได้มองแค่เพียงรายได้ แต่เน้น “การเปลี่ยนแปลง” แต่ต้องเหลือสิ่งที่ดีไว้กับโลก ด้วยการเลิกใช้ถ่านหิน และปรับมาผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซธรรมชาติ ก่อนจะก้าวเข้าสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง
ภายใต้คำมั่นสัญญาเรื่อง “พลังงานที่ยั่งยืน” GULF มุ่งหวังที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25% ภายในปี พ.ศ. 2573 และตั้งเป้าหมาย Net Zero ในปี พ.ศ. 2593 โดยมีกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวมแล้วกว่า 8,495 เมกะวัตต์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า GULF กำลังทำให้ “พลังงานสะอาด” ให้เป็น “ทางรอด” ของระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
ไม่เพียงเท่านั้น ยังขยายตัวสู่ “ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์” เช่น โครงการมอเตอร์เวย์ M6 และ M81 รวมถึงท่าเรือมาบตาพุด และแหลมฉบัง ที่ดำเนินการผ่านการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่สะพานเชื่อมเมือง แต่เป็นสะพานเชื่อมโอกาสทางเศรษฐกิจ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
และโลกที่ก้าวเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยี GULF จึงก้าวเข้ามาอย่างมั่นใจในธุรกิจดิจิทัล โดยเริ่มจากการถือหุ้นใน ADVANCE และ THCOM (บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)) ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและดาวเทียม พัฒนาโครงการศูนย์ข้อมูล (Data Center) ร่วมกับ Signtel และ AIS นอกจากนั้นยังจับมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud Hosted (GDCH) ซึ่งเป็นบริการ Cloud ที่ปลอดภัยระดับสูง เหมาะกับสภาพแวดล้อมของไทย
อีกหนึ่งก้าวที่น่าสนใจคือ GULF Binance ที่ให้บริการซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีและโทเค็นดิจิทัล โดยได้รับอนุมัติใบจาก ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ครบทั้ง 4 ประเภท สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทย ไม่ใช่แค่ตามเทรนด์ แต่เป็นผู้ “ปั้นอนาคต” ของอุตสาหกรรมการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยให้มีมาตรฐานโลก
ในส่วนของคุณสารัชถ์ นอกจากการสร้างบริษัท ยังได้สร้าง “โอกาส” ผ่านการบริหารอย่างมีวินัย การมองภาพใหญ่ และการลงทุนในอนาคตโดยไม่หวั่นกับความท้าทาย ทำให้ในปี 2567 GULF ปิดปีด้วยรายได้รวม 124,622 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 21,383 ล้านบาท โดยมีรายได้หลักมาจากธุรกิจพลังงาน และส่งผลให้คุณสารัชถ์ ติด 1 ใน 5 อันดับมหาเศรษฐีไทย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 338,000 ล้านบาท
ยิ่งไปกว่านั้นผ่านไปเพียงแค่ 5 เดือนของปี พ.ศ. 2568 GULF ก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยการควบรวมกิจการกับ INTUCH (ประกอบธุรกิจด้านการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และดิจิทัล) และเข้าซื้อหุ้นของธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ในสัดส่วน 3.49% กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับที่ 4 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่มากกว่าการรับปันผล แต่เป็น “การวางหมากล่วงหน้า” สำหรับการเชื่อมต่อพลังงาน ดิจิทัล การเงิน รวมไปถึงในอนาคตอาจจะมีธุรกิจเกี่ยวกับประกันชีวิต เพื่อรองรับการเติบโตแบบ Ecosystem Driven
ปัจจุบัน GULF จึงเป็นมากกว่า “บริษัทด้านพลังงาน” แต่เป็นการ “เชื่อมต่ออนาคต” เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ และ Digital Economy อย่างเต็มรูปแบบ เบื้องหลังความสำเร็จของ GULF มีทั้งทีมงานที่แข็งแกร่ง ทรัพยากรทางการเงินที่มั่นคง และเครือข่ายพันธมิตรระดับประเทศและระดับโลก และสิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือ “เจตนารมณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยน” ของผู้นำที่ยังคงเชื่อมั่นในบทบาทของภาคเอกชนในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า โดยไม่มองข้ามการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม ชุมชน และชีวิตผู้คน
จากเรื่องราวของคุณสารัชถ์ และ GULF ทำให้เกิดคำถามที่ว่า “แล้วธุรกิจของเราหล่ะ กำลังขับเคลื่อนเพื่ออนาคตแบบไหน?” ในยุคที่ทุกธุรกิจถูกบีบให้เลือกว่าจะโตแบบเร่งรีบ หรือยั่งยืนแบบยาวนาน บางทีคำตอบอาจอยู่ที่วิสัยทัศน์ที่กว้างพอจะมองเห็น “ระบบ” ไม่ใช่แค่ “ผลลัพธ์” และกล้าที่จะลงทุนใน “โครงสร้าง” ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อยอดขาย
แล้วคุณล่ะ กำลังสร้างธุรกิจของคุณแบบไหน? แชร์มุมมองของคุณในช่องคอมเมนต์ได้เลย
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– https://www.gulf.co.th/th/home
– https://youtu.be/8bvZdYrU3_s?si=jCk_w6tcz4feqLv3