Facebook ซื้อกิจการ Startup คนไทย ใน Silicon Valley

บทเรียนจากชายคนหนึ่ง ที่เกิดในประเทศไทย เติบโตในประเทศไทย แต่สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนทั่วไป คือความหลงใหลมากกว่าปกติในคอมพิวเตอร์ เมื่อตอนเป็นเด็กเขาได้ลองเล่นคอมพิวเตอร์ครั้งแรก หากเป็นคนทั่วไป คงตื่นเต้นที่ได้เล่นมัน แต่เขาเห็นถึงความมหัศจรรย์ของมัน ว่าทำไมภายนอกที่มีแค่จอและคีย์บอร์ด แต่สามารถประมวลผลอะไรก็ได้
ทำให้เขาในวัย 10 ขวบ สนใจในคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก แม้เขาจะชอบเล่นเกมเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แต่ลึก ๆภายในใจ เขาต้องการเขียนเกมเป็นของตัวเอง และจุดเปลี่ยนแรกของชีวิต คือการได้รู้จัก บิล เกตส์ ในตอนที่กำลังพัฒนา Microsoft Windows 95 แม้ว่ามูลค่าของ Microsoft จะไม่ได้เป็นที่ 1 ของโลก แต่ บิล เกตส์ กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก
จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการคอมพิวเตอร์ครั้งแรก ต้องย้อนกลับไปตอนที่เขาเรียนมัธยม แล้วที่โรงเรียนมีการติวเพื่อเตรียมนักเรียนไปแข่งคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระดับประเทศ เขาจึงวางมาตรฐานของตัวเองว่า ถ้าอยากเขียนโปรแกรมให้เก่งที่สุดของประเทศ ก็วัดจากผลการสอบคอมพิวเตอร์โอลิมปิก ซึ่งเมื่อผลสอบออกมา เขาเหรียญเงิน และได้เป็นตัวแทนประเทศ
หลังจากที่เขาสามารถพิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้แล้ว เป้าหมายต่อไปคือ ต้องการเขียนโปรแกรม เพื่อขายให้กับคนทั่วโลก ซึ่งในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยไม่มีต้นแบบของคนที่ประสบความสำเร็จในด้านนี้ ที่จะสามารถเป็นต้นแบบให้กับเขาได้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และคิดว่าคงมาถึงทางตันแล้ว
[คำถามชวนคิด] หากคุณเป็นชายคนนี้ คุณจะตัดสินใจอย่างไรต่อ เมื่อเดินมาถึงทางตัน?
แต่ด้วยความมุ่งมั่น ทำให้เขาค้นพบหนทาง คือ นอกจากจะแข่งในประเทศ จึงมองหาสนามแข่งขันที่เป็นระดับโลกมากขึ้น และเข้าสู่สนามแข่งขันระดับโลกมากขึ้น จนสามารถเข้าร่วมการแข่งขัน Software ของ Microsoft และมาพร้อมกับรางวัลชนะเลิศที่ 1 ของโลก
ก้าวต่อไปหลังจากที่ได้รางวัล คือต้องตัดสินใจว่าจะทำงานหรือไปเรียนต่อ ซึ่งเสียงข้างในที่ดังชัดเจน บอกกับเขาว่า เขาต้องไปทำงาน และที่ที่เขาควรทำไปทำงาน คือ Microsoft แต่เส้นทางสู่ที่นั่น ไม่ใช่หนทางที่ง่าย แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน Mr. Craig Mundie ซึ่งเป็น CIO ของ Microsoft ในขณะนั้น มาที่ประเทศไทยพอดี
ในฐานะที่เคยได้รับรางวัลที่ 1 ของโลก เขาจึงได้รับเชิญให้ไปนำเสนองาน และช่วงท้ายของการนำเสนอ ก็ได้บอกกล่าวถึงความฝันของตัวเขาเองว่า อยากไปทำงานที่ Microsoft สาขาใหญ่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการได้มาทำงานที่ Microsoft โดยได้รับการสนับสนุนให้ทีมของเขา ได้ไปดูงานที่ Microsoft สาขาใหญ่ จาก คุณปฐมา จันทรักษ์ ซึ่งเป็น MD ของ Microsoft ประเทศไทย ในขณะนั้น
นอกจากการไปดูงาน เขายังถือ resume ติดมือไปด้วย และก็ได้ไปบอกกับรุ่นที่คนไทยที่ทำงานอยู่ Microsoft ว่าอยากเข้ามาทำงานที่นี่ จึงได้รับความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ ประสานงานไปถึงระดับ Manager จนได้รับโอกาสให้นำเสนอผลงานที่ผ่านมา และมากไปกว่านั้น เขาเองยังถูกสัมภาษณ์ พร้อมกับให้ทำบททดสอบ ซึ่งสุดท้ายแล้ว การไปดูงานในครั้งนี้ นอกจากเขาจะได้ถ่ายภาพร่วมกับ บิล เกตส์ เขายังไม่รับการ offer ให้เข้าไปทำงานที่ Microsoft
แม้เขาจะมีทักษะทางความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ จนสามารถเข้าไปทำงานที่ Microsoft สาขาใหญ่ได้ แต่ด้วยทักษะภาษาที่ไม่ได้เก่งมากและต้องปรับตัวกับวัฒนธรรม ทำให้เป็นปัญหาและอุปสรรค ในช่วงแรกของการไปทำงานที่นั่น จนทำให้เกิดความท้อแท้ ทำอะไรก็ดูยากลำบากทุกอย่าง แต่ด้วยความเชื่อมั่นในความฝันที่อยากทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ จึงทำให้เขาก้าวข้ามความลำบากมาได้
แต่สุดท้ายแล้ว ความฝันที่อยากทำซอฟต์แวร์ระดับโลกที่เป็นบริษัทของตัวเองของเขาก็ยังคงอยู่ ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจาก Microsoft และลองผิดลองถูก จนมาเจอโรงเรียนสอนสตาร์ทอัพ ชื่อว่า Y Combinator ซึ่งเหมาะกับตัวเขาเอง ที่มีทักษะทางด้านนวัตกรรม แต่ยังขาดคนช่วยในการทำธุรกิจ จึงตัดสินใจเข้ามาอยู่กับ Y Combinator จนสามารถเริ่มทำบริษัทเป็นของตัวเองได้
ธุรกิจแรกที่เขาทำคือ ธุรกิจโฆษณาดิจิทัล ที่ชื่อว่า “AdsOptimal” เป็นการโฆษณาบนโทรศัพท์มือถือ แต่สิ่งที่ทำอยู่ไม่ได้แตกต่างจากเจ้าตลาดที่ทำอยู่ก่อนหน้านี้ ทำให้ลูกค้าที่มี เป็นเพียงลูกค้ารายเล็ก จึงหาแนวทางการพัฒนาธุรกิจต่อ ด้วยความบังเอิญที่ในขณะนั้น virtual reality กำลังได้รับความสนใจ แต่ด้วยปัญหาเรื่องอุปกรณ์ที่เข้าถึงได้ยากทำให้เป็นช่องว่างทางการตลาด
จากช่องว่างการตลาดดังกล่าว ทำให้เขาไปนำเสนอกับผู้ที่ทำ virtual reality ว่าเปลี่ยนจากสิ่งนั้น มาเป็นการโฆษณา VR/AR ผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งลูกค้ารายแรกที่สนใจสิ่งนี้คือ The New York Times ทำให้บริษัทของเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้รับงานจากลูกค้ารายใหญ่อื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น TIME, Forbes, Bloomberg รวมไปถึง The Wall Street Journal
ด้วยความสำเร็จของธุรกิจโฆษณา VR/AR ผ่านโทรศัพท์มือถือ จึงเป็นที่มาของธุรกิจที่ 2 ที่มีชื่อว่า “OmniVirt” ที่มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนจาก 2D ไปเป็น 3D ซึ่งได้รับความสนใจจากบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง จนมีโอกาสได้ร่วมงานกัน และยิ่งไปกว่านั้น คือการขายเทคโนโลยี โดยมีการเสนอซื้อกิจการ
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า ปรัชญา ไพศาลวิภัชพงศ์ (Brad Phaisan) ซีอีโอแห่ง OmniVirt ผู้ที่เกิดและเติบโตในเมืองไทย ลาออกจาก 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ อย่าง Microsoft และ Google เพื่อเดินทางตามความฝันของตัวเอง จนสามารถสตาร์ทอัพของตัวเอง และขายกิจการใน Silicon Valley ให้กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER