จากลูกชาวไร่ สู่เจ้าของธุรกิจหมื่นล้าน

จากติดหนี้ 900 ล้านตอนอายุ 50 ปี สู่การสร้างธุรกิจหมื่นล้าน ของชายวัย 65 ปี ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO ซึ่งทำธุรกิจแปรรูปมะพร้าวเป็นน้ำมะพร้าวและกะทิ
ดร.วรวัฒน์ เป็นลูกของ “เกษตรกร” ที่คุณพ่อทำไร่อ้อยอยู่ราชบุรี และคุณแม่ทำสวนมะพร้าวที่ทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ เขาจึงมีโอกาสได้ช่วยคุณพ่อคุณแม่ในการทำไร่ทำสวน แต่โดยส่วนตัวชอบวิทยาศาสตร์ จึงตัดสินใจเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หลังจากเรียนจบ ตัดสินใจไม่กลับไปช่วยที่บ้าน แต่เลือกทำงานในโรงงาน ตำแหน่ง QC (Quality Control) จนวันหนึ่ง เจ้าของโรงงานขับรถหรูเข้ามาที่โรงงาน ซึ่ง ดร.วรวัฒน์ เห็นแล้วก็ประทับใจมาก จึงมีความคิดอยากมีโรงงานเป็นของตัวเอง แต่รู้ว่ามันไม่ง่าย จึงให้สิ่งนี้เป็น “แรงบันดาลใจ” ในการอยากรู้อยากเห็นและเรียนรู้
ตอนอายุ 25 ที่โรงงานไอศกรีม ขาดแคลนมะพร้าว จึงเอามะพร้าวที่สวนของคุณแม่มากะเทาะขายเป็นงานเสริม ซึ่งพบว่า เงินเดือนที่ได้เพียงหลักพัน แต่งานเสริมทำได้ถึงหลักหมื่น จึงตัดสินใจลาออก แต่ก็ทำอยู่ได้เพียงช่วงหนึ่ง ราคามะพร้าวก็ตกต่ำ จึงกลับไปเป็นเซลล์ ทำให้ได้ฝึกทักษะการพูด ซึ่งทำงานเป็นเซลล์ได้ 2 ปี ก็มีเพื่อนของคุณแม่ชวนให้ไปเป็นผู้จัดการโรงงานกะทิ
เมื่อเป็นผู้จัดการโรงงาน พบว่า ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ตอบโจทย์ในการทำงาน จึงตัดสินใจเรียนต่อ MBA ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แม้จะมีเงินใช้แค่หลักพันต่อเดือน แต่ที่ตัดสินใจเรียน เพราะ MBA สำคัญกับการวางแผน และเปิดมุมมองด้านธุรกิจให้กว้างขึ้น
หลักจากเรียนจบ MBA จึงตัดสินใจยืมเงินพ่อตา 3 แสนบาท โดยการเริ่มจากทำโรงงานกะทิ และความโชคดีคือ มีเพื่อนที่เรียนจบที่เดียวกัน ทำงานที่โรงงานไอศกรีม ซึ่งช่วงที่เปิดโรงงาน มะพร้าวขาดตลาด แต่โรงงานไอศกรีม ไม่ซื้อมะพร้าวไปคั้นเอง แต่ซื้อเป็นกะทิ
สินค้าชิ้นแรกจึงนำ น้ำกะทิ ที่ไปซื้อจากตลาดแล้วนำมาอุ่น จากนั้นใส่ถุง แล้วนำส่งโรงงานไอศกรีม ซึ่งด้วยประสบการณ์ที่เคยเป็น QC มาก่อน ทำให้ผ่านกระบวนการคัดเลือกจากโรงงาน ซึ่งทำได้อยู่ 3 ปี ก็ต้องย้ายโรงงาน เพราะที่ตั้งโรงงานเดิม ไม่สามารถออกใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานได้
ตัดสินใจย้ายโรงงานไปตั้งที่จังหวัดราชบุรี ซึ่งสามารถทำรายได้ไปถึงหลักร้อยล้าน แต่ตลอดระยะเวลาที่ทำมา 10 ปี ไม่สามารถก้าวข้ามหลัก 500 ล้านได้ จึงตัดสินใจเอาโรงงานไปค้ำประกันเพื่อกู้เงิน ได้เงินมา 900 ล้าน แล้วเอาเงินก้อนนั้น ไปสร้าง “โรงงานสับปะรด”
เหตุผลที่เป็นโรงงานสับปะรด เนื่องจาก สับปะรด เป็นการแปรรูปที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมการแปรรูป แต่ทำได้เพียง 3 ปีก็ต้องปิดโรงงาน เนื่องจากขาดทุนปีละร้อยล้าน ซึ่งบทเรียนที่ได้คือ ประสบการณ์ในการทำโรงงานมะพร้าว ไม่สามารถนำมาใช้กับโรงงานสับปะรดได้ทั้งหมดเนื่องจาก การทำโรงงานสับปะรด ต้องใช้เงินเย็น รอซื้อตอนราคาถูก เก็บไว้ขายตอนราคาแพง แต่เงินกู้เป็นเงินร้อน ทำแบบนั้นไม่ได้
[คำถามชวนคิด]: หากคุณเป็น ดร.วรวัฒน์ คุณจะมองหาวิธีในการพลิกฟื้นธุรกิจอย่างไร?
สิ่งที่ทำให้ธุรกิจของ ดร.วรวัฒน์ ค่อยๆพลิกฟื้นกลับมาได้ คือการมีที่ปรึกษาที่ดี โดยขั้นตอนแรกในการพลิกฟื้นคือ ยื่นล้มละลาย เพื่อขอฟื้นฟูกิจการ ทำให้เจ้าหนี้ไม่สามารถมายึดทรัพย์สินได้ แต่เราก็ต้องทำแผน 5 ปี ในเรื่องการผ่อนจ่ายหนี้ โรงงานที่มีก็ตัดสินใจขาย เพื่อใช้หนี้ ซึ่งไม่เสียดาย เพราะเชื่อว่า วันนึงถ้ามีเงิน ก็ซื้อกลับมาใหม่ได้
บทเรียนจากวิกฤต ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่เป็นหนี้ ทำให้คนที่มีอีโก้สูง กลับมาฟังเสียงคนอื่นมากขึ้น ให้ความสนใจรายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทมากขึ้น ซึ่งก่อนจะเป็นหนี้ แทบจะไม่ได้ยุ่งกับงานการเงินและบัญชี แต่ปัจจุบัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพราะตอนเป็นหนี้ เงินทุกบาท ล้วนมีความสำคัญ
อีกบทบาทหนึ่งนอกจากตำแหน่ง CEO ดร.วรวัฒน์ ยังเป็น Leadership Coaching ทำให้ได้เรียนรู้จากปัญหาของหลาย ๆ คนที่ทำการ coach และพบว่าศักยภาพข้างในของคนเรามีมากกว่าที่คิด แต่มีบางอย่างบังไว้ ในฐานะหัวหน้า เราต้องเป็นคนช่วยเปิดสิ่งที่บังไว้ และเปิดพื้นที่ให้เขาได้ลองผิดลองถูก ซึ่งแต่ละคนก็มีความเก่งเป็นของตัวเองและไม่สามารถเก่งได้ทุกอย่าง
เมื่อปี 2566 ก็ถึงจุดพลิกผันอีกครั้งในวัย 60 ปี คือการตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทำให้สามารถสร้างยอดขายได้สูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และทำการขายธุรกิจออกไปตามเทรนด์ในตลาด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพจากโปรตีนพืช และ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีสและเนยที่ทำจากพืช
ในปัจจุบันบริษัทได้ทำการขยายตลาดไปแล้วกว่า 90 ประเทศทั่วโลก ซึ่งคิดเป็น 90% ของรายได้ โดยตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดที่ส่งออกไปคือ “ประเทศจีน” และตั้งเป้าหมายในปี 2568-2569 จะมีการขยายตลาดเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 130 ประเทศทั่วโลก และยอดขายแตะ 1 หมื่นล้านบาท
ซึ่งบทเรียนที่ได้จากการทำธุรกิจของ ดร.วรวัฒน์ คือการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและความยั่งยืน ถ้าทำสิ่งใดแล้วไม่มีความสุขและไม่เกิดความยั่งยืนจะไม่ทำ และเชื่อว่าการทำธุรกิจต้องใช้ “ศีล สมาธิ ปัญญา” ที่ดี ต้องไม่ “โลภ โกรธ หลง” จึงจะทำให้บริษัทผ่านทุกปัญหาและวิกฤตไปได้
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– https://youtu.be/_KP2_gx1ztU?si=Ysw6iTSguQV6PaC5