“Katanyu Tonight”: จากเด็กฝึกงานสู่ Stand-up Comedy

เราทุกคนที่เกิดมา เราล้วนมีความฝันที่อยากจะทำอะไรซักอย่าง ก่อนที่จะสิ้นอายุขัย โดยเฉพาะความฝันบางสิ่งที่เรามี Passion กับมัน แต่บางครั้งเราก็ไม่สามารถจะผลักมันให้เกิดขึ้นจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจะเปลี่ยน Passion ให้กลายเป็น Profession ยิ่งเป็นสิ่งที่ยาก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครทำได้
ก่อนที่ชายคนนี้จะเปลี่ยน Passion ให้กลายเป็น Profession ได้นั้น ย้อนกลับไปในวัยเรียน เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ซึ่ง ณ ที่แห่งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา โดยขณะที่เขาเรียนอยู่ปี 1 มีโอกาสได้ไปฝึกงานกับนิตยสาร DDT โดยไปทำนิตยสารที่เป็นเล่มแถมที่แทรกอยู่ในนิตยสาร DDT โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพเกี่ยวกับนักดนตรี แต่เป็นแนว comedy
จากนั้นเมื่อมีความสนใจเกี่ยวกับนิตยสาร จึงซื้อนิตยสารมาอ่าน แต่ด้วยความบังเอิญ หนึ่งในเล่มที่ซื้อมาอ่าน มีประกาศรับสมัครเข้าร่วมโครงการ “a team junior” รุ่นที่ 2 ของนิตยสาร a day เป็นโครงการเพื่อรับนักศึกษาฝึกงาน ซึ่งความพิเศษของโครงการนี้คือ เดือนสุดท้ายของการฝึกงาน จะได้ทำเล่มนิตยสารที่จะนำไปวางจำหน่ายจริง แต่สมัครรุ่นที่ 2 ไม่ผ่านการคัดเลือก จึงสมัครไปอีกครั้งในรุ่นที่ 3 และสามารถผ่านการคัดเลือกเข้าไปร่วมโครงการ
แม้ที่ผ่านมาเขาจะเคยทำนิตยสารมาก่อน แต่เมื่อมาอยู่ในโครงการ เขาพบว่า ตัวเองกลายเป็นคนที่เรียกได้ว่า “อ่อนที่สุด” เพราะเมื่อเขาส่งผลงานให้ตรวจ เขามักจะโดนให้แก้ไขงานใหม่เกือบทั้งหมด ซึ่งทำให้เขาเกิดความท้อ จนบางครั้งแม้จะนั่งอยู่หน้าจอคอม แต่กลับเขียนอะไรไม่ได้เลย แม้คนที่คอยตรวจสอบงานจะไม่ได้สร้างแรงกดดัน แต่ด้วยความต้องการอยากทำให้สำเร็จของตัวเขาเอง ที่กลายมาเป็นแรงกดดันมหาศาล
เมื่อเพื่อนที่อยู่ในโครงการเดียวกัน เห็นถึงความเครียดและกดดันของเขา จึงแนะนำว่า สิ่งที่จะทำให้เขาสามารถเขียนงานออกมาได้ดี คือการ “อ่านหนังสือ” ให้เยอะ ๆ แต่ไม่มีใครแนะนำเขาว่า ควรอ่านหนังสือแนวใด เขาจึงอ่านหนังสือเกือบทุกแนว แต่เน้นไปที่หนังสือหมวด Fiction เป็นส่วนใหญ่ จนกลายเป็นนิสัยรักการอ่าน แม้ว่าจะจบโครงการ a team junior ไปแล้วก็ตาม
เส้นทางการพิสูจน์ตัวตนของเขาไม่ได้จบเพียงแค่การผ่านโครงการนั้น แต่ต้องการพิสูจน์ว่าเขาเป็นนักเขียนที่ดีได้ จึงตัดสินใจส่งไปเพื่อตีพิมพ์ลงในนิตยสาร “ช่อการะเกด” ซึ่งเป็นนิตยสารรวมเรื่องสั้นและวรรณกรรม ซึ่งเขาสามารถทำได้ ได้รับคัดเลือกให้ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร แต่เท่านี้ยังไม่เพียงพอสำหรับเขา เพราะเขาต้องการทำงานที่ใหญ่ขึ้นมากกว่านี้ เขาจึงขอกลับไปฝึกงานอีกครั้งที่ a day ในตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 และได้ทำนิตยสารร่วมกับ a day อย่างที่ตั้งใจไว้
หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย เขาเริ่มงานแรกกับนิตยสาร “happening” ในตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการ โดยมีคุณวิภว์ บูรพาเดชะ เป็นบรรณาธิการ ซึ่งทั้งบริษัทมี 2 คน ซึ่งได้ทำหลายอย่าง แม้จะทำอยู่แค่เพียง 1 ปี แต่เขาสามารถมี Pocket Book เป็นของตัวเอง ชื่อว่า “อยู่กับกู๋” ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีรายการสารคดีชื่อดัง คือ “กบนอกกะลา” กำลังรับสมัครพิธีกรรายการ ซึ่งมีผู้สมัครเข้ามาหลักพันคน แม้เขาจะสามารถเข้ามาถึงรอบ 2 คนสุดท้าย แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งไป
ซึ่งหลังจากวันนั้นอีก 1 ปี เขาก็มีโอกาสไปทำงานเป็นพิธีกร แต่เป็นรายการ “คนค้นฅน” แม้จะทำได้เพียง 1 ตอน เนื่องจากความเหนื่อยและคิดว่าไม่เหมาะกับตัวเขาเอง แต่ใน 1 ตอนที่เขาถ่ายทำ มันคือระยะเวลากว่า 200 ชั่วโมง ก่อนจะถูกนำมาตัดต่อเพื่อนำไปออกอากาศ เขาได้เรียนรู้อีกมุมมองหนึ่งที่แตกต่างจากการทำนิตยสารคือ การทำนิตยสาร จะมีมิติในเชิงความคิดเยอะมาก แต่รายการสารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวของคนธรรมดา จะเป็นเรื่องของความเรียบง่าย เช่น วันนี้คุณจะทำอะไรครับ กินข้าวหรือยังครับ ทำให้เขาได้มุมมองและประสบการณ์ที่มากขึ้น จนกลายเป็นพิธีกรที่ดี
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มต้นงานใหม่อีกครั้ง โดยไปทำงานที่สำนักพิมพ์ ที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับวรรณกรรมแปลและงานปรัชญา โดยสำนักงานจะมีอยู่ 2 สาขา คือ ร้านหนังสือก็องดิด (Candide Books) และสาขาที่อําเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเขาถูกส่งให้ไปเฝ้าที่สาขาอำเภอปาย เป็นระยะเวลาประมาณ 9 เดือน โดยทำหน้าที่พิสูจน์อักษรควบคู่ไปด้วย ทำให้เขาได้อ่านงานปรัชญาเพิ่มมากขึ้น
หลังจากกลับมาจากปาย เขาตัดสินใจลาออกและได้ไปลองทำงานหลาย ๆ อย่างในโดยทำในรูปแบบของฟรีแลนซ์ ซึ่งงานส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นงานพิธีกรและนักเขียน จนกลายมาเป็นการก่อตั้งสำนักพิมพ์เป็นของตัวเอง และทำเรื่องสั้นเป็นของตัวเอง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งในช่วงเวลานั้นเริ่มมีการใช้ social media ทำให้เกิดการรีวิวมากขึ้น ซึ่งในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เขาก็ได้รับเกียรติให้ไปเป็นพิธีการในงาน a book lecture show ของสำนักพิมพ์ a book
แต่ก่อนงานจะเริ่ม จะมีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากเปิดให้คนเข้ามาในงาน เขาจึงตัดสินใจว่าช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ เอาไปทำทอล์กโชว์แนวตลก ซึ่งโมเมนต์นี้ ทำให้เขาอยากทำ Stand-up Comedy เป็นของตัวเอง จึงไปเล่าแนวคิดและรายละเอียดทั้งหมดที่อยากทำให้กับเพื่อนสนิทฟัง แต่กว่าจะได้เริ่มทำจริง ๆ เวลาก็ผ่านไปกว่า 3 ปี โดยจัดครั้งแรกเป็นงานแบบเล็ก ๆ รองรับคนไม่เกิน 50 คน แต่ด้วยภาระค่าใช้จ่าย ก็ทำได้เพียงครั้งเดียว
หลังจากนั้นเขาก็หันไปทำงานเอเจนซี่และนิตยสาร แล้วมีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณดวงฤทธิ์ บุนนาค ซึ่งหนึ่งในประโยคในการสัมภาษณ์ที่เขานำมาปรับใช้จนถึงปัจจุบันคือ “ถ้าคุณจะทำอะไร คุณต้องหาความเป็นไปได้ ในบริบทของคุณ” เช่น ทักษะที่คุณมีมันสามารถทำอะไรได้ ทำให้เขาตัดสินใจทำ Stand-up Comedy อีกครั้งนึง ในแบบของคนที่โตขึ้น คิดแบบรอบคอบและวางแผนมากขึ้น จนสามารถจัดงานในโรงละครที่คนมางานหลักพันคนได้
แต่ก็เจอกับปัญหาในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งตัวเขาเองไม่สามารถบริหารจัดการเงินได้ เพราะมั่นใจในตัวเองมากเกินไป หลังจากผ่านช่วงวิกฤตมาได้ ก็มีโอกาสไปเจอเพื่อนโดยบังเอิญ และเพื่อนได้พูดประโยคนึงที่สะกิดใจของเขา นั่นคือ “ทำงานเบื้องหลังมอบความสุขให้คนมาเยอะแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องมาอยู่เบื้องหน้าแล้ว” จึงกลับไปทบทวน ซึ่งพบว่า ที่ผ่านมาพยายามเป็นทุกอย่าง ยกเว้น “ตัวของตัวเอง”
เมื่อทบทวนทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ยอมรับความล้มเหลวของตัวเอง เพื่อหาทางลุกกลับมาให้ได้ แม้ในวันนี้เขาจะบอกว่า ยังไม่ได้ลุกขึ้นยืนได้เต็มตัว แต่สิ่งที่เขาตัดสินใจทำก็กลายเป็นที่รู้จักของใครหลาย ๆ คน นั่นก็คือ “Katanyu Tonight” โดยคุณยู-กตัญญู สว่างศรี ผู้ที่ลงมือทำทุกอย่างจนสามารถเปลี่ยน Passion เป็น Profession ได้
“เสียงหัวเราะที่ดีที่สุดไม่ใช่อยู่ในความทรงจำ
แต่เสียงหัวเราะที่ดีที่สุด คือเสียงหัวเราะ ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน”
-กตัญญู สว่างศรี-
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– https://youtu.be/5glm1y1QoZg?si=9JPkSogFsVnyrn73