Jamie Dimon: จากล้มเหลวสู่ CEO ธนาคารยักษ์ใหญ่

ในโลกของการเงินและวาณิชธนกิจที่เต็มไปด้วยผู้บริหารมากความสามารถ แต่มีชายคนหนึ่งที่มีความโดดเด่น แม้เส้นทางอาชีพของเขาจะไม่ได้ราบรื่น ไม่ได้มาพร้อมชื่อเสียงระดับโลกในช่องแรกของชีวิต แต่เขากลับกลายเป็น CEO ของธนาคารยักษ์ใหญ่ นั่นคือ JPMorgan Chase ซึ่งเขาสามารถพาธนาคารแห่งนี้ฝ่าคลื่นวิกฤตมาได้อย่างมั่นคง และตัวเขาเองก็สามารถดำรงตำแหน่ง CEO มาได้มากกว่าสองทศวรรษ ซึ่งเขาคนนั้นก็คือ Jamie Dimon
Jamie Dimon เป็นลูกชายของครอบครัวผู้อพยพชาวกรีกในนิวยอร์ก ซิตี้ เติบโตมาในครอบครัวที่มีความรู้ทางด้านการเงิน จากการเป็นโบรกเกอร์หุ้น แต่สิ่งที่เขาเลือกศึกษากลับเป็น “จิตวิทยาและเศรษฐศาสตร์” ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญของวิธีคิดและการบริหารของเขาในเวลาต่อมา ซึ่ง Dimon ไม่ได้เพียงมองเห็นตัวเลขหรือกราฟ แต่เขาสามารถมองเห็นถึง “คน” ที่อยู่เบื้องหลังทุกการตัดสินใจ และเชื่อว่าองค์กรที่เข้มแข็ง ต้องเริ่มจากวัฒนธรรมและทีมงานที่มีหัวใจเดียวกัน
หลังจากเรียนจบ MBA จาก Harvard Business School เขาได้ติด Dean’s List และได้ฝึกงานกับ Goldman Sachs Jamie และได้เริ่มต้นทำงานที่ American Express โดยทำงานภายใต้ Sandy Weill ผู้บริหารในตำนานของ Wall Street ซึ่งกลายเป็น “Mentor” คนสำคัญในชีวิตของ Dimon ทั้งสองร่วมกันสร้าง Travelers Group และต่อมากลายเป็น Citigroup ผ่านการควบรวมกิจการครั้งใหญ่ แต่เรื่องราวกลับพลิกผัน เมื่อในปี 1998 เขาถูก Sandy Weill ปลดออกจากตำแหน่ง COO อย่างไม่คาดฝัน เหตุการณ์นี้เปลี่ยนชีวิตของ Dimon ไปตลอดกาล แต่เขาเลือกที่จะไม่ยอมแพ้
หลังการถูกไล่ออก Dimon หายไปจากวงการอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะกลับมาด้วยการเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Bank One ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 5 ของสหรัฐฯ แต่กำลังเผชิญกับวิกฤตขาดทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาจึงไม่ได้เข้ามาเพียงแค่บริหาร แต่เขา “ลงมือ” ตรวจสอบทุกมิติของการดำเนินงาน ปรับปรุงระบบสินทรัพย์ ลดต้นทุน ทำให้ข้อมูลโปร่งใส ขยายธุรกิจ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ที่แข็งแรงและยั่งยืน
ความสำเร็จอันโดดเด่นของ Dimon ที่ Bank One เข้าตา JPMorgan Chase ซึ่งในขณะนั้นเอง ก็ประสบปัญหาจากการควบรวมกิจการที่ใหญ่เกินควบคุม แม้มีความตั้งใจดีจาก CEO คนก่อนหน้าอย่าง William B. Harrison Jr. ที่สร้างชื่อ “JPMorgan Chase” ขึ้นมาได้จากการควบรวมยักษ์ใหญ่สองราย ระหว่าง JPMorgan กับ Chase Manhattan แต่กลับทิ้งปัญหาหนี้เสีย วัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกัน และระบบเทคโนโลยีที่ไม่สามารถรวมกันได้อย่างลงตัว Dimon จึงกลายเป็นความหวังสุดท้ายขององค์กร ทำให้ JPMorgan Chase ตัดสินใจควบรวมกิจการกับ Bank One และ Dimon ก็ก้าวขึ้นมาเป็น CEO ของ JPMorgan Chase
เมื่อ Dimon ก้าวขึ้นมาเป็น CEO ของ JPMorgan Chase เขาเลือกที่จะสร้าง “ทีมผู้บริหาร” เพื่อให้มองเห็นทิศทางไปในทางเดียวกัน และมีความเข้าใจองค์กรอย่างลึกซึ้ง โดยนำหลักการ “4 หมวก” มาปรับใช้กับผู้บริหารทุกคน ได้แก่ Leader, Commander, Boss และ Coach เพื่อให้ผู้บริหารสามารถเป็นทั้ง ผู้นำ, ผู้สั่งการ, ผู้ควบคุม และผู้พัฒนา ได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้ PMorgan Chase ไม่เพียงเป็นธนาคาร แต่กลายเป็น “องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยผู้นำ”
และสิ่งที่ทำให้ Dimon แตกต่างจากผู้นำทั่วไปคือความเข้าใจ “งานหน้างาน” โดยเชื่อว่าผู้นำต้องกล้าลงพื้นที่ ต้องเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่มองจากรายงาน ดังคำกล่าวที่ว่า “You can’t manage what you don’t understand” และเขาก็ใช้หลักการนี้ในการบริหารทุกระดับ จนสามารถนำพาธนาคารให้พ้นจากวิกฤตได้อย่างโดดเด่น
ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งของ Jamie Dimon คือการพา JPMorgan Chase เติบโตจากรายได้ 67,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงแรกของการเป็น CEO เป็น 140,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 และมีกำไรสุทธิพุ่งจาก 3,500 ล้านดอลลาร์ เป็น 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเวลาไม่ถึงสองทศวรรษ ซึ่งเป็นการนำพาองค์กรไปสู่ความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของธนาคาร
เรื่องราวของ Jamie Dimon ให้บทเรียนกับเราว่า ผู้นำที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องไม่หยุดพัฒนา เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้บริหารที่ทำให้ JPMorgan Chase ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เป็นการ “รักษาคุณค่าขององค์กร” ไม่ให้ถูกกลืนไปกับความเปลี่ยนแปลง และ Dimon ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความล้มเหลวไม่ได้เป็นจุดจบ แต่สามารถเป็นบทเรียนให้กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีและยิ่งใหญ่ได้
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– https://youtu.be/mEnoyoHRWE8?si=mVXJXFfNnu43k7eE