Emily’s เส้นหมี่ไก่ฉีก: เปลี่ยนไอเดียธรรมดาให้โตหลักร้อยล้าน

ถ้าโอกาสมาในรูปแบบของวิกฤต คุณคิดว่าจะ “กลัว” หรือ “กล้า” กระโจนใส่?
ในวันที่ทุกอย่างแทบจะพังลงจากวิกฤต-19 บางคนเลือกจะหยุดรอให้พายุพ้นผ่านไป หรือบางคนสู้ต่อไม่ไหวก็ต้องปิดตัวลง แต่สองผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ “Emily’s เส้นหมี่ไก่ฉีก” กลับตัดสินใจกระโดดเข้าสู่สนามธุรกิจด้วยไอเดียง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็มองว่า “ธรรมดาเกินกว่าจะไปได้ไกล” แต่จากเมนูเส้นหมี่ไก่ฉีก กลับกลายเป็นธุรกิจที่มียอดขายกว่า 176 ล้านบาทในปีเดียว
เมื่อสายการบินต้องปิดตัวลงเพราะโควิด-19 คุณภัทร์ ลูกเรือผู้ว่างงาน ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างเฉียบพลัน จึงปรึกษาคุณเพ็บ ว่าอยากหาอะไรสักอย่างทำ ด้วยสูตรชาที่มีอยู่ในมือ ทั้งคู่จึงตัดสินใจเริ่มต้นแบรนด์เครื่องดื่ม “การชา” โดยเริ่มจากการขายผ่านพรีออร์เดอร์ ไปจนถึงวันที่ได้เปิดหน้าร้านที่ห้างสรรพสินค้า แต่ในวันที่ตัดสินใจเปิดร้านวันแรก ห้างก็ต้องปิดเพราะมาตรการล็อกดาวน์ โดยห้างเสนอแนวทางเดียวที่จะเปิดร้านได้คือการขายผ่าน Delivery ทำให้เป็นบทเรียนสำคัญว่า “การขายผ่าน Delivery Platform ไม่ต้องการหน้าร้านหรูหรา แต่ต้องการระบบที่คล่องตัว”
จากการที่แบรนด์เครื่องดื่มไม่สามารถสร้างรายได้ที่มากพอจะเลี้ยงพนักงานในช่วงวิกฤต ทั้งคู่จึงคิดเพิ่มเมนูอาหารเข้ามาขายเพื่อเสริมรายได้ พายสไตล์ฝรั่งเศสเป็นตัวเลือกแรกที่นำเขามา จากแรงบันดาลใจในซีรีส์ “Emily in Paris” และนั่นคือที่มาของชื่อ “Emily” แต่พายกลับไม่ใช่คำตอบในระยะยาว เมนูถัดมาอย่าง “เส้นหมี่ไก่ฉีก” กลับได้รับการตอบรับอย่างล้มหลามจนทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจปิดแบรนด์ชาไปอย่างถาวร เพื่อมุ่งมั่นกับเส้นหมี่ไก่ฉีกอย่างเต็มตัว
แม้หลายคนมองว่า “เส้นหมี่+ไก่ฉีก” เป็นเมนูง่าย ๆ ที่ใครก็ทำได้ แต่สิ่งที่ทั้งสองคนทำคือการ “ทำให้แตกต่างและแปลกใหม่” ตั้งแต่การคิดสูตร การจัดวาง การเลือกกล่อง รวมไปถึงการทำ R&D ที่ทั้งคู่ทำด้วยกันตั้งแต่วันแรก ทุกกล่องที่ส่งไปถึงมือลูกค้า เต็มไปด้วยการทดลองและพัฒนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากความพยายามเหล่านี้ ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และเริ่มบอกต่อจนแบรนด์ค่อย ๆ เติบโต
“Emily’s เส้นหมี่ไก่ฉีก” ไม่ได้เริ่มจากการทำ Branding หรือ Marketing ด้วยงบมหาศาล แต่เริ่มจากความตั้งใจให้แบรนด์สะท้อนตัวตนของผู้ก่อตั้ง ไม่ว่าจะเป็นสูตรของครอบครัว สีที่ใช้บนกล่อง ไปจนถึงประสบการณ์ของลูกค้าในทุก ๆ กล่อง แม้ในตอนแรกที่ทำ มีฉลากข้างกล่องมากถึง 4 สีเพื่อความน่าสนใจ แต่กลับทำให้ลูกค้าสับสน จนสุดท้ายเหลือเพียงสีเดียวที่เป็นสีมงคลสำหรับทั้งสองคน นี่คือบทเรียนของแบรนด์เล็กที่กล้าปรับ กล้าลอง และเรียนรู้จากฟีดแบ็กของลูกค้าจริง ๆ
หนึ่งใน pain point สำคัญที่แบรนด์เลือกรับฟังและลงมือแก้ไข คือขนาดของกล่องใส่อาหาร เนื่องจากลูกค้าบางกลุ่มซื้อครั้งละมาก ๆ แล้วพบว่าขนาดของกล่องใหญ่เกินไปสำหรับพื้นที่ในตู้เย็น ทั้งคู่จึงตัดสินใจออกแบบกล่องใหม่ โดยได้แรงบันดาลใจจาก “Chinese Takeaway Box” ซึ่งเป็นสิ่งใหม่สำหรับอาหารไทย จนทำให้กล่องของ Emily’s กลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้ลูกค้าจำได้และบอกต่อ
แม้ว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าจำนวนมาก แต่ทั้งสองคนไม่ได้เลือกขยายสาขาแบบมีหน้าร้านที่ใหญ่ แต่เลือกที่จะขยายสาขาด้วยแนวคิดแบบ “Delivery Hub” ที่เน้นความคล่องตัวและลดต้นทุน ทุก Hub จึงกลายเป็นจุดกระจายสินค้าไปหาลูกค้าโดยไม่จำเป็นต้องมีที่นั่ง แต่อัดแน่นด้วยความใส่ใจ คุณภาพ และประสบการณ์ที่น่าจดจำ
ความสำเร็จของ Emily’s มาจากการที่ทั้งสองคนฟังเสียงของลูกค้าให้มาก ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายบุคคล หรือแม้แต่ Rider ที่รับส่งอาหาร โดยแม้กระทั่งการจัดเตรียมน้ำดื่มให้กับ Rider ที่รอรับออร์เดอร์ ทุกสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ถูกสะสมเป็น “ประสบการณ์” ที่ดีให้กับ Rider และส่งต่อสิ่งดี ๆ ไปถึงมือลูกค้าด้วยเช่นกัน ความประทับใจเหล่านี้ ถึงกลายเป็นที่มาของการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้า
บทเรียนธุรกิจจาก Emily’s ทั้งคู่เน้นย้ำว่า “ความพร้อมไม่มีอยู่จริง” คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่กล้าลงมือก่อน แล้วค่อยเรียนรู้ระหว่างทาง คำว่า “ผิดพลาด” ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นบทเรียนในการทำธุรกิจที่ดี นอกจากนี้ “ความจริงใจ” กับลูกค้า เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะแม้จะทำการตลาดดีแค่ไหน ถ้าไม่มีความจริงใจกับลูกค้า ลูกค้าก็จะไม่กลับมาอีก
สุดท้าย เรื่องราวของ “Emily’s เส้นหมี่ไก่ฉีก” เป็นบทพิสูจน์ว่าการเริ่มจาก “ไอเดียเล็กๆ” ก็สามารถเติบโตสู่หลักร้อยล้านได้ ถ้าคุณฟังลูกค้า ใส่ใจในรายละเอียด และ “ลงมือทำ” มากกว่ารอให้พร้อม สำหรับใครที่กำลังลังเล อย่าปล่อยให้ความกลัวฉุดรั้ง เพราะบางที โอกาสใหญ่ที่สุด อาจซ่อนอยู่ในกล่องเล็ก ๆ ที่คุณกล้าส่งออกไปวันนี้ก็ได้
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– https://youtu.be/-xW4dAKGsFE?si=ONcelIrZJiOtgTYR