Moshi Moshi ร้านไลฟ์สไตล์ไทย สู่บริษัทมหาชนพันล้าน

หากพูดถึงร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์ ที่ครองใจวัยรุ่นไทยมาเป็นระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา หนึ่งในชื่อที่หลายคนต้องรู้จัก นั่นก็คือ “Moshi Moshi” ร้านที่หลายคนคุ้นตากับสินค้าน่ารัก สีสันสดใส และราคาย่อมเยา แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ มาจากวิสัยทัศน์ การสังเกต และความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของผู้ก่อตั้ง ที่จุดเริ่มต้นจากร้านในสำเพ็ง จนกลายเป็นบริษัทมหาชนมูลค่าหลายพันล้าน
Moshi Moshi แม้จะเป็นชื่อที่มีความเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น แต่แท้จริงแล้วเป็นแบรนด์ไทย 100% ที่เกิดจากความตั้งใจของ “คุณสง่า บุญสงเคราะห์” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยเริ่มจากการเป็นพ่อค้าเดินสาย ขายสินค้าคือ “หวีและกระจก” ในตลาดสำเพ็ง โดยใช้ความพยายามนำเสนอสินค้า แม้บางครั้งจะต้องรอคุยกับเจ้าของร้านนานนับชั่วโมง จนสามารถกระจายสินค้าได้มากกว่า 30 ร้านค้า และสร้างฐานลูกค้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
จากประสบการณ์จริงในการลงพื้นที่ คุณสง่าเริ่มมองเห็นช่องว่างของตลาดกิ๊ฟช็อปในย่านสำเพ็ง ร้านค้าส่วนใหญ่มักแบ่งพื้นที่ขายของหลากหลายประเภท แต่ยังไม่มีร้านที่เจาะกลุ่มสินค้าประเภท “กิ๊ฟช็อป” โดยเฉพาะ เขาจึงตัดสินใจเปิดร้าน ที่เน้นบรรยากาศสะดวกสบาย ติดแอร์ และจัดร้านให้มีหลายชั้น ให้แตกต่างจากร้านค้าทั่วไปในตลาดสำเพ็ง ซึ่งจุดเด่นนี้กลายเป็นเสน่ห์และจุดดึงดูดที่สำคัญที่ทำให้ร้านได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
จากร้านเดียวในสำเพ็ง สู่การวางระบบหลังบ้านอย่างจริงจัง Moshi Moshi จึงเป็นร้านเจ้าแรก ๆ ที่นำระบบ barcode เข้ามาใช้ และวางระบบทุกอย่างให้ชัดเจน แม้กระทั่ง job description รวมไปถึงการตั้งโรงงานผลิตสินค้า เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพและราคาขายได้ดีกว่าการนำสินค้ามาจำหน่ายจากต่างประเทศ จุดยืนของแบรนด์คือการทำสินค้าที่ “ดีไซต์สวย คุณภาพดี ราคาจับต้องได้” (Good Design, Good Quality, Good Price) และที่สำคัญต้องถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญ
Moshi Moshi เปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2559 และจากนั้นก็ขยายสาขาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปี พ.ศ. 2567 มีสาขารวมทั้งสิ้น 167 สาขาทั่วประเทศ พร้อมสินค้าในร้านมากกว่า 22,000 รายการใน 13 กลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น ของใช้ในบ้าน เครื่องเขียน กระเป๋า ตุ๊กตา อุปกรณ์ความงาม ขนม และของเล่น โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ ผู้หญิง ช่วงอายุ 18-25 ปี และยังต่อยอดไปสู่แบรนด์อื่น ๆ อย่าง “Garlic” ที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบความเท่และมีสไตล์ต่างจากเดิม
โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญของการเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ “การไม่หยุดพัฒนาโมเดลธุรกิจ” ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับครีเอเตอร์ไทย ออกคอลเลคชั่นพิเศษ การขยายร้านในรูปแบบ “สแตนด์อโลน” หรือแม้แต่การร่วมมือกับ Index Creative Village จัดนิทรรศการ “Hello Kitty Exhibition” เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า พร้อมเพิ่มยอดขายในระยะยาว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจในการสร้างแบรนด์ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ชีวิตประจำวันของลูกค้า” อย่างแท้จริง
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 Moshi Moshi ไม่เพียงแค่รอดมาได้ แต่ยังใช้โอกาสในการปรับตัว ทั้งการเจรจาขอลดค่าเช่าพื้นที่กับห้างสรรพสินค้า การพัฒนาไลน์สินค้าที่ตอบโจทย์พฤติกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์การ work from home และการลดต้นทุนการผลิตโดยไม่ลดคุณภาพ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ความยืดหยุ่นทางธุรกิจ (Business Resilience) ที่ทำให้แบรนด์สามารถกลับมาเติบโตได้อย่างรวดเร็วหลังจากวิกฤต
และยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ในปี 2565 ได้ก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ภายใต้ชื่อ “MOSHI” ด้วยมูลค่า Market Cap กว่า 6,300 ล้านบาท เป็นการระดมทุนเพื่อเตรียมตัวขยายตลาดสู่ต่างประเทศ โดยมีแผนรุกตลาดต่างประเทศในแถบเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม ลาว และเมียนมาร์ ซึ่งเป็นตลาดที่ให้การตอบรับสินค้าไลฟ์สไตล์ที่คล้ายกับไทย
ในด้านผลประกอบการ Moshi Moshi เติบโตต่อเนื่องทุกปี ทั้งในแง่ของรายได้และกำไร โดยในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา มีรายได้รวม 3,127.90 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 520.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยแบ่งสัดส่วนรายได้จากร้านค้าปลีกมากถึง 82.2% และในปี พ.ศ. 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตอย่างน้อย 15-20% ผ่านการเปิดสาขาเพิ่มอีก 40 สาขา พัฒนา software และคลังสินค้า เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน
แต่ Moshi Moshi ไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงแค่รายได้หรือกำไร แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยมีนโยบายอย่างชัดเจนในการลดการใช้พลังงาน การใช้วัสดุรีไซเคิล การสนับสนุนสิทธิมนุษยชน และการบริหารองค์กรด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม กลายเป็นอีกหนึ่งองค์กรตัวอย่างที่เติบโตอย่างสมดุลระหว่าง “ธุรกิจ” และ “จริยธรรม”
จากจุดเริ่มต้นในย่านสำเพ็ง สู่บริษัทมหาชนมูลค่าหลายพันล้าน Moshi Moshi จึงเป็นตัวอย่างของแบรนด์ไทย ที่แสดงให้เห็นว่า จากความฝัน ความตั้งใจ และการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักธุรกิจ นักลงทุน หรือเป็นคนที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจ บทเรียนจาก Moshi Moshi บอกกับเราว่า “ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้” หากเรากล้าจะเริ่มต้น และกล้าที่จะปรับตัว
เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– https://www.moshimoshi.co.th/th/home