‘ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน’: จากศูนย์สู่ 19 สาขา ขายชา 1,000,000 แก้วใน 3 ปี

0
ชาเย็นสุดไวรัล ธุรกิจชาเย็น ผู้หญิงเก่งสร้างแบรนด์ ร้านชาเย็นบรรทัดทอง ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน Thai milk tea brand viral iced tea business female entrepreneur success Bangkok tea startup everyday milk tea


ในวันที่แผนชีวิตพังทลาย เพราะวิกฤตโควิด-19 หลายคนอาจหยุดเพื่อให้สถานการณ์ผ่านพ้นไป แต่ไม่ใช่กับ คุณวิว-พันธ์ทิพย์ ดีเจริญ ที่เปลี่ยนคำถามง่าย ๆ ว่า “แล้วเราจะทำอะไรต่อดี?” ให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์สุดไวรัล “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” ที่ภายในเวลาเพียงแค่ 3 ปี กลายเป็นธุรกิจที่มีมากถึง 19 สาขา และขายชาเย็นไปแล้วมากกว่า 1 ล้านแก้ว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การขายชาเย็น แต่เป็นการยกระดับชาเย็น ให้กลายเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ของคนทั่วประเทศ


จุดเริ่มต้นของธุรกิจไม่จำเป็นต้องเริ่มจากความพร้อม — สำหรับคุณวิว วิกฤตโควิด-19 ในปีที่เรียนจบใหม่ กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต จากแผนการเรียนต่อ ต้องกลายเป็นผู้ประกอบการแบบไม่ทันตั้งตัว ด้วยเงินทุนก้อนหนึ่งที่เตรียมไว้สำหรับการเรียนต่อ เธอตัดสินใจลงทุนเปิดคาเฟ่เล็ก ๆ แถวบรรทัดทอง โดยไม่มีความรู้ ไม่มีประสบการณ์ และไม่มีคอนเนคชั่น แทบเรียกได้ว่าเริ่มทุกอย่างจากศูนย์


จากเมนูหนึ่งแก้ว สู่ไอเดียหลักล้าน — เมนู “ชาเย็น” ที่คุณวิวดื่มมาตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช กลายเป็นจุดแข็งโดยไม่ตั้งใจ ลูกค้าหลายคนกลับมาซื่อซ้ำ เพราะเป็นชาเย็นที่ไม่เหมือนใคร จนเธอเริ่มสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคและพบว่า “ชาเย็น” มีฐานแฟนเหนียวแน่น และยังไม่มีแบรนด์ไหนที่ให้ความสำคัญอย่างจริงจัง จุดนี้เองที่ทำให้เกิดแบรนด์ “Beams Cha” ก่อนจะ Re-branding ใหม่ในชื่อที่ติดหูและเรียบง่ายว่า “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน”


แบรนด์ที่เข้าใจคนกินชาเย็นจริง ๆ — การรีแบรนด์ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนชื่อ แต่มาจากการเข้าใจ Customer Insight อย่างลึกซึ้ง โดยกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์คือคนวัย 20-35 ปี ที่ดื่มชาเย็นเป็นประจำ ด้วยความที่คุณวิวเองก็อยู่ในวัยเดียวกัน จึงเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ดี “กินทุกวันอยู่แล้ว ก็เรียกตรง ๆ เลยว่า ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” เป็นการตั้งชื่อแบรนด์ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทั้งในแง่ของ branding และ emotional connection


“ล้ม” เพื่อเรียนรู้ และเริ่มต้นใหม่อย่างแม่นยำ — จุดเปลี่ยนสำคัญของแบรนด์ คือเมื่อเข้าไปเปิดสาขาแรกในตลาดจ๊อดแฟร์ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นโลเคชันทอง แต่กลับไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลัก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ทำให้ยอดขายตกอย่างหนัก บางวันเหลือเพียงหลักพันบาทเท่านั้น คุณวิวจึงตัดสินใจ “ถอยเพื่อรุก” ปิดสาขานั้น และย้ายกลับมาที่บรรทัดทอง ในจุดเริ่มต้นเดิมที่ลูกค้าเข้าใจแบรนด์ และให้การตอบรับเป็นอย่างดี


โอกาสเป็นของคนที่ “พร้อมจะเสี่ยง” — การได้รับโอกาสเข้าไปเปิด Pop-up Store ที่แฟชั่นไอส์แลนด์คือจุดเปลี่ยนใหญ่ แม้ทีมยังไม่พร้อม และทุนก็จำกัด แต่คุณวิวเลือกที่จะ “ทุ่มหมดหน้าตัก” ทำร้านให้ดีที่สุด ตั้งใจสร้างภาพจำให้ลูกค้า แม้จะมีสัญญาเพียง 1 เดือน ก็ใส่ใจทุกรายละเอียดในระดับที่คนทั่วไปอาจมองว่าเกินจำเป็น แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ลูกค้ามาต่อคิวยาวตั้งแต่วันแรก แบรนด์เริ่มกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง


จากหนึ่งสาขา สู่โอกาสแบบ Non-stop — เมื่อแฟชั่นไอส์แลนด์ประสบความสำเร็จ แบรนด์ก็เริ่มได้รับการติดต่อจากห้างใหญ่อื่น ๆ เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว และเมกะบางนา แม้ต้องเปิดพร้อมกันและใช้เงินทุนมหาศาล แต่คุณวิวเลือกที่จะ “คว้าไว้ก่อน” แล้ววางแผนการเงินตามทีหลัง ออกอีเวนต์ให้บ่อยขึ้นเพื่อสร้างกระแสเงินสด (cash flow) และใช้ทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่าในการขยายธุรกิจ


เมื่อถูกลอกเลียนแบบ สิ่งที่ต้องทำคือ “วิ่งให้เร็วขึ้น” — การเป็นที่รู้จัก มักมาพร้อมกับการถูกลอกเลียนแบบ แม้จะไม่เหมือนทั้งหมด แต่ก็คล้ายกันพอให้ลูกค้าสับสน เป็นสิ่งที่คุณวิวเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเลือกที่จะ “ไม่หยุดอยู่กับที่” แบรนด์จึงเริ่มขยายแนวคิดว่า “ชาเย็นเป็นได้มากกว่าเครื่องดื่ม” และ เริ่มสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น ขนมปังชาเย็นร่วมกับ BOW BAKERY วางขายใน 7-11 หรือการ Colab กับแบรนด์อื่น เพื่อรักษาความแปลกใหม่และความจำของแบรนด์ไว้


ไม่มีความสำเร็จไหนได้มาฟรี ทุกแก้วคือบทเรียน — แม้จะก่อตั้งแบรนด์มาได้เพียง 3 ปี แต่เบื้องหลังคือการทำงานระดับ 200% ของคุณวิวและทีม จากคนที่ไม่มีความรู้ ไม่มีต้นทุน และไม่มีคอนเนคชั่น ต้องเรียนรู้ทุกอย่างแบบ hand-on ตั้งแต่รสชาติชา การสร้างทีม ไปจนถึงการวางระบบหลังบ้าน ทุกความผิดพลาดคือต้นทุนของการเรียนรู้ และทุกยอดขายคือหลักฐานของความตั้งใจ ปัจจุบัน “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” ขยายแล้วกว่า 19 สาขา และขายไปมากกว่า 1 ล้านแก้ว


เบื้องหลังความสำเร็จของ “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะความกล้า ความเข้าใจลูกค้า และการ “ไม่หยุดพัฒนา” แม้จะเรียกได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์ก็ตาม ดังนั้น ธุรกิจที่ดี ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากความพร้อมทั้งหมด แต่อยู่ที่ว่าเราพร้อม “ลงมือ” เมื่อโอกาสมาถึงหรือไม่


เรียบเรียงโดย: THE INSIDER
Source
– https://youtu.be/g0FLFKw0OPs?si=lSfyyHx4-VZvx3fP

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *